แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลมม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลังแพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่ มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษอันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371, 91, 33 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288, 371 ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่น จำคุก 20 ปี ฐานพาอาวุธติดตัวไปในหมู่บ้านปรับ 100 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลางทั้งหมดข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 จำคุก 12 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2534 จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า หลังจากที่ผู้ตายถูกยิงแล้ว ได้มีการนำตัวผู้ตายไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่อกแถบซ้าย ด้านข้างระดับราวนมฉีกขาดขนาด 1×1 เซนติเมตรกระสุนปืนทะลุกะบังลม ม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนปืนฝังอยู่ที่ไขสันหลัง แพทย์ผ่าตัดเอากระสุนปืนออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้าน เพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2535หลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการที่ถูกจำเลยยิงหรือไม่ โจทก์มีนายแพทย์มนตรา พัฒนศรี แพทย์ประจำโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชผู้รักษาผู้ตายเบิกความว่า ผู้ตายถูกกระสุนปืนที่อวัยวะสำคัญ ถ้ารักษาไม่ทันจะทำให้ตายได้ จากการผ่าตัดพบกระสุนปืนฝังอยู่ที่กระดูกไขสันหลัง ทำให้เป็นอัมพาตไปตลอดชีวิตขณะที่ผู้ตายออกจากโรงพยาบาลบาดแผลที่ช่องท้องหายแล้วแต่มีบาดแผลที่ด้านหลังและสะโพกเนื่องจากผู้ตายไม่ได้เคลื่อนไหวต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานบาดแผลดังกล่าวนี้พยานเบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า ถ้ารักษาถูกวิธีอาจรักษาหายได้ และนางศรีวิมล โชคสุข ผู้ช่วยหัวหน้าตึกศัลยกรรมหญิงโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราชผู้ดูแลผู้ตายก็เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าตอนที่อยู่ที่โรงพยาบาล ผู้ตายมีแผลเน่าเปื่อยบริเวณก้นเนื่องจากนั่งและทอนทับอยู่นาน แผลเน่าเปื่อยนี้อาจรักษาให้หายได้ แต่อาการอัมพาตในลักษณะดังกล่าวไม่สามารถรักษาให้หายได้ เห็นว่า แม้คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพกเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่มาก เพราะขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ทำให้ผู้ตายไม่อาจดำรงชีวิตเหมือนคนปกติธรรมดาได้ และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียนโลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษอันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องกันตลอดมานับแต่ถูกยิง กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น