แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งรายการประเมินภาษีโรงเรือนให้จำเลยทราบ จำเลยมิได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านการประเมินหรือขอให้พิจารณาใหม่ และมิได้ชำระค่าภาษีให้โจทก์ตามขั้นตอนที่ พ.ร.บ. ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475 มาตรา 25,31 และ39 กำหนดไว้ จึงเท่ากับว่าผลของการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นยุติแล้ว โดยห้ามมิให้จำเลยนำคดีมาสู่ศาล ซึ่งหมายความรวมถึงว่าจำเลยไม่มีสิทธิโต้เถียง ว่าการประเมินไม่ถูกต้องด้วย ดังนั้นจำเลยจะต่อสู้คดีว่าการประเมินไม่ถูกต้องหาได้ไม่ แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยถึงเนื้อหาของการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ว่าไม่ถูกต้องบางประการก็ตาม ก็ไม่ทำให้กลายเป็นว่าจำเลยมีสิทธิต่อสู้ว่าการประเมินไม่ถูกต้องไปได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีโรงเรือนและเงินเพิ่มพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ไม่มีอำนาจประเมินค่าภาษีโรงเรือน การประเมินตามฟ้องเป็นจำนวนค่าภาษีมากเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้อง พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์มีอำนาจประเมินค่าภาษีโรงเรือนได้ตามกฎหมายแต่พนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ประเมินภาษีไม่ถูกต้อง พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 110,880 บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน 2525 จนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้โจทก์เสร็จ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาในชั้นฎีกามีเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องการประเมินภาษีของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ ข้อเท็จจริงได้ความว่าเมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์แจ้งรายการประเมินภาษีให้จำเลยทราบแล้ว จำเลยมิได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านการประเมินหรือขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ตามที่พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพุทธศักราช 2475 มาตรา 25 กำหนดไว้ และมิได้ชำระค่าภาษีให้โจทก์ภายในเวลาเก้าสิบวันตามที่กฏหมายกำหนด โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องเรียกให้จำเลยนำภาษีที่ค้างมาชำระ ศาลฎีกาเห็นว่า ตามขั้นตอนของกฎหมายเมื่อจำเลยไม่พอใจการประเมินก็ชอบที่จะยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านการประเมิน หรือขอให้พิจารณาการประเมินนั้นใหม่ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พุทธศักราช 2475และหาดจำเลยยังไม่พอใจในคำชี้ขาดการประเมินก็อาจจะนำคดีไปสู่ศาลเพื่อแสดงให้ศาลเห็นว่าการประเมินนั้นไม่ถูกก็ได้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 31 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ทั้งนี้จำเลยจะต้องชำระค่าภาษีทั้งสิ้นซึ่งถึงกำหนดต้องชำระเสียก่อนตามนัยแห่งมาตรา 39 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่จำเลยมิได้ยื่นคำร้องโต้แย้งคัดค้านการประเมินหรือขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ และมิได้ชำระค่าภาษีให้โจทก์ตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงเท่ากับว่าผลของการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์เป็นยุติแล้ว โดยห้ามมิให้จำเลยนำคดีมาสู่ศาล ซึ่งหมายความรวมถึงว่าจำเลยย่อมไม่มีสิทธิโต้เถียงว่าการประเมินไม่ถูกต้องด้วยดังนั้นจำเลยจึงจะต่อสู้คดีว่า การประเมินไม่ถูกต้องหาได้ไม่ คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะวินิจฉัยถึงเนื้อหาของการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของโจทก์ว่าไม่ถูกต้องบางประการก็ตามก็หาทำให้กลายเป็นว่า จำเลยมีสิทธิต่อสู้ว่าการประเมินไม่ถูกต้องไปได้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.