คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1285/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

การซื้อขายสีมีการรับรองคุณภาพของสีไว้เป็นพิเศษ โดยมีอายุการประกัน 1 ปี อันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการซื้อขาย เมื่อการซื้อขายดังกล่าวมีการรับรองคุณภาพสินค้าไว้เป็นพิเศษจึงมิใช่การซื้อขายธรรมดา ทั้งโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่เป็นค่าสีเสื่อมคุณภาพและค่าส่วนต่างที่โจทก์ต้องซื้อสีมาใช้ทดแทนสีที่เสื่อมคุณภาพตามข้อตกลงรับประกันสินค้าตามสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินธรรมดาซึ่งจะทำให้คดีโจทก์มีอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 474 อีกทั้งไม่ใช่การใช้สิทธิเรียกร้องที่เกิดจากจำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดแต่ประการใดแต่เป็นกรณีโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามข้อตกลงพิเศษแห่งสัญญาดังกล่าวข้างต้น ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/30

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 240,910.50 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา จำเลยแถลงขอถอนคำให้การในข้อ 1.1, 1.2, 1.3, 1.5 และ 1.6 คงเหลือข้อต่อสู้เฉพาะเรื่องอายุความตามข้อ 1.4 เท่านั้น และโจทก์กับจำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงต่อศาลชั้นต้นว่า จำเลยทำสัญญาซื้อขายสินค้าตามคำฟ้องโจทก์ต่อมาจำเลยผิดสัญญาและทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้ไว้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2547
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน จำเลยไม่แก้อุทธรณ์ จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ให้
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยขายสีน้ำมันเคลือบเงาชนิดทาและสีแดงกันสนิมให้แก่โจทก์ โดยจำเลยรับประกันการเสื่อมคุณภาพของสีเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันส่งมอบ โจทก์ได้รับมอบสีจากจำเลยเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2544 และวันที่ 6 สิงหาคม 2544 ตามลำดับต่อมาหน่วยงานของโจทก์เบิกสีดังกล่าวไปใช้ปรากฏว่าสีดังกล่าวเสื่อมคุณภาพไม่สามารถใช้งานในกิจการของโจทก์ได้ โดยโจทก์พบเห็นความเสื่อมคุณภาพของสีเมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2544 และวันที่ 14 สิงหาคม 2544 ตามลำดับ ซึ่งล้วนยังอยู่ในช่วงเวลาที่จำเลยรับประกันการเสื่อมคุณภาพของสีคือภายในเวลา 1 ปี นับแต่วันส่งมอบสินค้าต่อมาจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ลงวันที่ 9 สิงหาคม 2547 รับที่จะชดใช้เงิน 240,910.50 บาท ให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระรวม 6 งวด เป็นเงินงวดละ 40,000 บาท และงวดสุดท้ายเป็นเงิน 40,910.50 บาท แล้วจำเลยผิดนัดชำระหนี้
คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์แต่ประการเดียวว่า สิทธิเรียกตามคำฟ้องของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ โดยศาลล่างวินิจฉัยว่าโจทก์มาฟ้องเกิน 1 ปี นับแต่โจทก์พบเห็นความชำรุดบกพร่อง และแม้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ แต่โจทก์ก็ฟ้องคดีเกิน 2 ปี นับแต่วันที่จำเลยทำหนังสือดังกล่าว คดีโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า การซื้อขายสีรายนี้มีการรับรองคุณภาพของสีไว้เป็นพิเศษโดยมีอายุการประกัน 1 ปี ปรากฏตามใบสั่งซื้อเลขที่ 440386 ลงวันที่ 9 เมษายน 2544 และใบสั่งซื้อเลขที่ 440593 ลงวันที่ 12 มิถุนายน 2544 ท้ายสัญญาซื้อขายอันถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงในการซื้อขาย เมื่อการซื้อขายดังกล่าวมีการรับรองคุณภาพสินค้าไว้เป็นพิเศษจึงมิใช่การซื้อขายธรรมดา ทั้งตามคำฟ้องก็แสดงแจ้งชัดว่าโจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในค่าเสียหายที่เป็นค่าสีเสื่อมคุณภาพ และค่าส่วนต่างที่โจทก์ต้องซื้อสีมาใช้ทดแทนสีที่เสื่อมคุณภาพตามข้อตกลงรับประกันสินค้าตามสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับประกันสินค้าตามสัญญาซื้อขาย มิใช่เป็นเรื่องโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในความชำรุดบกพร่องแห่งทรัพย์สินธรรมดาซึ่งจะทำให้คดีโจทก์มีอายุความ 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 474 อีกทั้งไม่ใช่การใช้สิทธิเรียกร้องที่เกิดจากจำเลยผู้เป็นลูกหนี้รับสภาพความรับผิดแต่ประการใด แต่เป็นกรณีโจทก์ใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามข้อตกลงพิเศษแห่งสัญญาดังกล่าวข้างต้นซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2549 ซึ่งยังไม่พ้นระยะเวลา 10 ปี สิทธิเรียกร้องของโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องเพราะเห็นว่าคำฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น และการที่จำเลยขอถอนข้อต่อสู้อื่น ๆ ตามคำให้การคงเหลือเฉพาะเรื่องอายุความเท่านั้น เมื่อข้อต่อสู้ในเรื่องอายุความฟังไม่ขึ้นเสียแล้ว จำเลยจึงต้องรับผิดตามฟ้อง”
พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 278,552.76 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 240,910.50 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 30 ตุลาคม 2549) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์

Share