คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1320/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในการลักทรัพย์ จำเลยที่ 1 กับพวกใช้รถบรรทุกพ่วงของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด พาทรัพย์นั้นไป และเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นการบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ แต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 กับพวกลักมีปริมาณจำนวนมากต้องใช้รถบรรทุกของกลางเป็นเครื่องมือในการขนย้ายก็ตาม ก็ฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 1 ใช้รถบรรทุกพ่วงของกลางเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์ของผู้เสียหายหรือพาเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่จำเลยลักได้นั้นไป หรือเพื่อให้จำเลยพ้นจากการจับกุมเท่านั้น รถบรรทุกพ่วงของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยตรงที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบได้ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 335, 336 ทวิ ให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 457,600 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นคดีใหม่
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (ที่ถูก มาตรา 335 (1) (7) (11) วรรคสอง) ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุก 7 ปี 6 เดือน จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี 9 เดือน ให้จำเลยที่ 1 คืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 457,600 บาท แก่ผู้เสียหาย และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 6 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 3 ปี ไม่ริบรถบรรทุกของกลาง แต่ให้คืนของกลางดังกล่าวแก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่ารถบรรทุกพ่วงของกลางเป็นทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 ใช้ในการกระทำความผิด อันจะพึงต้องริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า ในการลักทรัพย์ตามฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวกใช้รถบรรทุกพ่วงของกลางเป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำความผิด พาทรัพย์นั้นไปและเพื่อให้พ้นการจับกุมอันเป็นการบรรยายฟ้องให้ครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ แต่บทบัญญัติดังกล่าวหาได้ให้ถือว่ายานพาหนะนั้นเป็นทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดด้วยไม่ เมื่อจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตามฟ้องและโจทก์จำเลยที่ 1 ไม่ติดใจสืบพยาน แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฎีกาของโจทก์ว่าทรัพย์ที่จำเลยที่ 1 กับพวกลักมีปริมาณจำนวนมากต้องใช้รถบรรทุกพ่วงของกลางเพื่อสะดวกแก่การลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือพาเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่จำเลยลักได้มานั้นไป หรือเพื่อให้จำเลยพ้นจากการจับกุมเท่านั้น รถบรรทุกพ่วงของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ของผู้เสียหาย หรือพาเอาทรัพย์ของผู้เสียหายที่จำเลยลักได้มานั้นไป หรือเพื่อให้จำเลยพ้นจากการจับกุมเท่านั้น รถบรรทุกพ่วงของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยตรงที่ศาลจะมีอำนาจสั่งริบได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share