คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1373/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงมีอานุภาพที่จะใช้ยิงทำให้ถึงแก่ความตายได้ถ้าถูกอวัยวะสำคัญ แต่การที่จำเลยยิงถูกผู้เสียหายบริเวณต้นแขนขวา ก็เนื่องจากผู้เสียหายรู้ตัวจึงเอี้ยวตัวหลบได้ทัน โดยจำเลยเล็งปืนมาที่หน้าอกของผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นจำเลยยืนอยู่ห่างจากผู้เสียหายเพียง 3 เมตร หากผู้เสียหายไม่เอี้ยวตัวหลบกระสุนปืนอาจถูกบริเวณหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกาย จำเลยย่อมเล็งเห็นได้ว่าผู้เสียหายอาจได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้จำเลยยังได้เล็งปืนไปที่ผู้เสียหายทำท่าจะยิงซ้ำ แต่นาย ค. ได้เข้าไปปัดมือของจำเลยเสียก่อนแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่ามีความประสงค์ต้องการฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายแต่ไม่สามารถยิงซ้ำได้เพราะนาย ค. ปัดมือจำเลยเสียก่อน การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงความตาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกรุสนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 80, 91, 288, 371 และริบลูกกระสุนปืนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุก 12 ปี และฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมืองหมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต เป็นความผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน ฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 12 ปี 6 เดือน ริบลูกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยกจำคุก 6 เดือน รวมจำคุก 12 ปี 6 เดือน ริบลูกกระสุนปืนของกลาง ข้อหาอื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง จำเลยใช้อาวุธปืนยิงถูกผู้เสียหายที่บริเวณต้นแขนขวาได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายหรือไม่ ปรากฏจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหายและนายคำกอง ว่า จำเลยเดินเข้ามาหาผู้เสียหาย ผู้เสียหายจึงลุกขึ้นถามจำเลยว่า “เฮ้ยมึงมีปัญหาอะไร” จำเลยไม่พูดตอบ แต่ชักอาวุธปืนพกออกมาจากบริเวณเอวด้านหน้าขวา แล้วยกขึ้นเล็งมาทางผู้เสียหายและยิงผู้เสียหาย 1 นัด แต่ผู้เสียหายเอี้ยวตัวหลบทันกระสุนปืนจึงถูกที่บริเวณต้นแขนขวา จำเลยจะยิงผู้เสียหายซ้ำอีกแต่นายคำกองเข้าห้ามและปัดปืนไปทางอื่น ดังนี้ เห็นว่า จำเลยใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงมีอานุภาพที่จะใช้ยิงทำให้ถึงแก่ความตายได้ถ้าถูกอวัยวะสำคัญ แต่การที่ยิงถูกผู้เสียหายบริเวณต้นแขนขวา ก็เนื่องจากผู้เสียหายรู้ตัวจึงเอี้ยวตัวหลบได้ทัน และได้ความจากคำให้การของผู้เสียหายในชั้นสอบสวนว่า จำเลยเล็งปืนมาที่หน้าอกของผู้เสียหาย ซึ่งขณะนั้นจำเลยยืนอยู่ห่างจากผู้เสียหายเพียง 3 เมตร หากผู้เสียหายไม่เอี้ยวตัวหลบกระสุนปืนอาจถูกบริเวณหน้าอกซึ่งเป็นอวัยวะส่วนสำคัญของร่างกายได้ จำเลยย่อมเล็งเห็นผลได้ว่าผู้เสียหายอาจได้รับอันตรายถึงแก่ความตายได้ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำให้การในชั้นสอบสวนของนายคำกองว่า จำเลยเล็งปืนไปที่ผู้เสียหายทำท่าจะยิงซ้ำจึงได้เข้าไปปัดมือของจำเลย ยังแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยว่ามีความประสงค์จะต้องการฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตาย แต่ไม่สามารถยิงซ้ำได้เพราะนายคำกองได้ปัดมือจำเลยเสียก่อน พฤติการณ์การกระทำของจำเลยจึงบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายตามฟ้องที่จำเลยอ้างในฎีกาว่า จำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายให้ถึงแก่ความตายนั้น ปรากฏว่าในชั้นพิจารณาจำเลยมิได้นำสืบพยานหลักฐานให้รับฟังได้เช่นนั้น จำเลยนำสืบต่อสู้อ้างฐานที่อยู่เท่านั้น ข้ออ้างของจำเลยจึงเลื่อนลอยไม่มีน้ำหนักให้รับฟังได้ ที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำไปโดยเจตนาฆ่าผู้เสียหายจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาประการสุดท้ายขอให้ลงโทษจำเลยในสถานเบา เห็นว่า สำหรับความผิดฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยที่ขอให้ลงโทษในสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการลงโทษของศาลอุทธรณ์ภาค 2 อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อหานี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำคุกเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอีก ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน

Share