แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
หากพยานซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจมาดักซุ่มดูพฤติการณ์ ของจำเลยโดยเจตนาที่จะจับกุมจำเลย เพราะได้รับรายงานจาก สายลับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ขายเมทแอมเฟตามีน เมื่อเห็นจำเลย ส่งมอบห่อของให้ ล. โดยมีพฤติการณ์ลักลอบซ่อนเร้นซึ่งพยานก็คิดว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่ ล. ตามที่สายลับแจ้งจริง พยานก็ควรเข้าจับกุมจำเลยพร้อม ล. ทันทีข้อที่พยานอ้างว่าเหตุที่ยังไม่เข้าจับกุมทันทีเนื่องจาก ล. นำห่อกระดาษซุก ไว้ที่ทรวงอกจึงไม่สะดวกแก่การค้นตัวผู้ถูกจับกุม ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมตัว ผู้ถูกจับกุมไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจหญิงค้นที่สถานีตำรวจ หรือเรียกให้มาค้นในที่เกิดเหตุก็ได้ การที่พยานละโอกาส ปล่อยให้ ล. และจำเลยแยกย้ายกันไปแล้วจึงติดตามไปจับกุมล. และต่อมาล่วงเลยมาถึง 2 เดือนเศษ จึงจับกุมจำเลยเป็นข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีน ให้ ล. จริงหรือไม่ ทั้งภายหลังจับกุม ล. แล้ว ในวันเดียวกับที่จับกุม ล. นั้น พยานได้พาพนักงานสอบสวนไปตรวจค้นบ้านร้างและบ้านจำเลย ก็พบจำเลยอยู่ที่บ้านของ จำเลยด้วย แต่ไม่พบเมทแอมเฟตามีนหรือสิ่งผิดกฎหมายอื่นที่บริเวณบ้านจำเลยหรือที่ตัวจำเลย ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้มีและขายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 63, 89, 106
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ให้จำคุก 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่าวันเกิดเหตุวันที่ 9 มิถุนายน 2538 เวลาประมาณ 8.30 นาฬิกาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมนางสาวลำไพ พิธีพรมได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2538 จับกุมจำเลยมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีนายดาบตำรวจบรรจง อินทะนะ และจ่าสิบตำรวจสุทธิพงษ์แก้วกัน เป็นประจักษ์พยานเบิกความว่า ก่อนจับกุมนางสาวลำไพได้สืบทราบจากสายลับว่าจำเลยลักลอบขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่เด็กนักเรียนและประชาชนทั่วไป พยานทั้งสองเคยรู้จักจำเลยมาก่อนเพราะก่อนหน้านี้เคยจับกุมน้องสาวของจำเลย วันเกิดเหตุเวลา6 นาฬิกา พยานทั้งสองขับรถยนต์ปิกอัพส่วนตัวไปจอดซุ่มห่างจากบ้านจำเลย 40 ถึง 50 เมตร ถึงเวลา 8.30 นาฬิกา นางสาวลำไพขับรถจักรยานยนต์มาจอดหน้าบ้านแล้วเดินเข้าบ้านจำเลยประมาณ5 นาที กลับออกมาพร้อมจำเลย จำเลยเดินไปที่บ้านร้างซึ่งอยู่ตรงข้ามบ้านจำเลย นางสาวลำไพจูงรถจักรยานยนต์ไปจอดหน้าบ้านจำเลยแล้วพากันเดินเข้าไปในบ้านร้างประมาณ 10 นาทีเดินออกมาบริเวณหน้าบ้านเห็นจำเลยส่งมอบห่อกระดาษให้นางสาวลำไพนางสาวลำไพนำห่อของนั้นซุกไว้ในเสื้อชั้นในบริเวณทรวงอกพยานคิดว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นางสาวลำไพตามที่สายลับแจ้ง เห็นว่า พยานมาดักซุ่มดูพฤติการณ์ของจำเลยโดยเจตนาที่จะจับกุมจำเลยเพราะได้รับรายงานจากสายลับว่าจำเลยมีพฤติการณ์ขายเมทแอมเฟตามีน เมื่อเห็นจำเลยส่งมอบห่อของให้นางสาวลำไพโดยมีพฤติการณ์ลักลอบซ่อนเร้น ซึ่งพยานก็คิดว่าจำเลยขายเมทแอมเฟตามีนให้แก่นางสาวลำไพตามที่สายลับแจ้งจริง พยานก็ควรเข้าจับกุมจำเลยพร้อมนางสาวลำไพทันที ข้อที่พยานอ้างว่าเหตุที่ยังไม่เข้าจับกุมทันทีเนื่องจากเห็นว่านางสาวลำไพนำห่อกระดาษซุกไว้ที่ทรวงอกจึงไม่สะดวกแก่การค้นนั้น ไม่สมเหตุผลเพราะการค้นตัวผู้ถูกจับกุมเป็นอีกขั้นตอนหนึ่งซึ่งสามารถควบคุมตัวผู้ถูกจับกุมไปมอบให้เจ้าพนักงานตำรวจหญิงทำการค้นที่สถานีตำรวจหรือเรียกให้มาค้นในที่เกิดเหตุก็ได้ การที่พยานละโอกาสปล่อยให้นางสาวลำไพและจำเลยแยกย้ายกันไปแล้วจึงติดตามไปจับกุมนางสาวลำไพ และต่อมาวันที่ 24 สิงหาคม 2538ล่วงเลยมาถึง 2 เดือนเศษ จึงจับกุมจำเลย เป็นข้อพิรุธน่าระแวงสงสัยว่าจำเลยเป็นผู้ขายเมทแอมเฟตามีนให้นางสาวลำไพจริงหรือไม่ทั้งยังได้ความจากพยานทั้งสองตอบทนายจำเลยถามค้านว่าภายหลังจับกุมนางสาวลำไพแล้ว ในวันเดียวกับที่จับกุมนางสาวลำไพนั้น พยานได้พาพนักงานสอบสวนไปตรวจค้นบ้านร้างและบ้านจำเลยก็พบจำเลยอยู่ที่บ้านของจำเลยด้วย ไม่พบเมทแอมเฟตามีนหรือสิ่งผิดกฎหมายอื่นที่บริเวณบ้านจำเลยหรือที่ตัวจำเลย ดังนี้พยานหลักฐานโจทก์จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน