คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 นั้น เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดา บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม การที่ ศ. ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรใช้ชื่อสกุลของมารดา หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรค 2 ไม่
เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว พ.ศ. 2519 มาตรา 1561 บุตรจะใช้ชื่อสกุลของมารดาได้หรือไม่ เมื่อบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้ชื่อสกุลของมารดา เช่นนี้ จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยและอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ว่าการเขตพระโขนง โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสโดยชอบกฎหมายกับนายศุภโยกต์ มาลิก หรือ มาลิค มีบุตรด้วยกัน ๒ คน คือเด็กหญิงนภาเพ็ญ กับเด็กหญิงศศิภา ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๑๘ โจทก์และนายศุภโยต์ได้ตกลงหย่ากันโดยความสมัครใจโดยโจทก์เป็นผู้อุปการะเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดู และใช้อำนจปกครองบุตรทั้งสอง ต่อมาโจทก์และนายศุภโยกต์ได้ตกลงกันเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสอง โดยเปลี่ยนจากมาลิก หรือมาลิค เป็น กฤดากร ณ อยุธยา ตามชื่อสกุลโจทก์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๐ โจทก์และนายศุภโยกต์ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ ๒ ขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านโดยขอเปลี่ยนชื่อสกุลจากมาลิกหรือมาลิคเป็นกฤษดากร ณ อยุธยา จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมจัดการดำเนินการให้โดยอ้างว่าเป็นกรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๑ วรรค ๒ ไม่อาจเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสองให้ได้ โจทก์และนายศุภโยกต์ชี้แจงแล้ว จำเลยที่ ๒ ก็ไม่ยอมจัดการแก้ไขให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันจดทะเบียนแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านรายการในช่องชื่อสกุลจากเด็กหญิงนภาเพ็ญ มาลิก หรือมาลิค และเด็กหญิงศศิภา มาลิก หรือมาลิค เป็นเด็กหญิงนภาเพ็ญ กฤดากร ณ อยุธยา และเด็กหญิง ศศิภา กฤดากร ณ อยุธยา หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมจัดการให้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิงนภาเพ็ญ และเด็กหญิงศศิภา ไม่มีอำนาจฟ้อง ภายหลังการจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โจทก์และนายศุภโยกต์มิได้ตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เปลี่ยนชื่อสกุลของเด็กทั้งสองนั้นและไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ ๒ ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อสกุลเพราะเห็นว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๑ วรรค ๒ การวินิจฉัยของจำเลยที่ ๒ ชอบด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ต่อมาทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับว่า โจทก์ได้จดทะเบียนหย่ากับนายศุภโยกต์ และได้ทำหนังสือตกลงให้โจทก์เป็นผู้อุปการะและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงนภาเพ็ญและเด็กหญิงศศิภาจริง มีอำนาจฟ้อง และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานสละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว พ.ศ. ๒๕๑๙ มาตรา ๑๕๖๑ บุตรจะใช้นามสกุล (น่าจะเป็นชื่อสกุล) ของมารดาได้หรือไม่ เมื่อบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้นามสกุลของมารดา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกันแก้ทะเบียนบ้านในรายกาารชื่อสกุลของเด็กหญิงนภาเพ็ญและเด็กหญิงศศิภา จากมาลิกหรือมาลิค เป็นกฤดากร ณ อยุธยา ตามที่โจทก์ยื่นคำร้องไว้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ ๕ มาตรา ๑๕๖๑ ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติ บรรพ ๕ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ให้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. ๒๕๑๙ มีความว่า “บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา” (วรรค ๑) “ในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา” (วรรค ๒) เห็นได้ว่ามาตรานี้เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดาบุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม การที่นายศุภโยกต์ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรทั้งสองใช้ชื่อสกุลของมารดา หากเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๖๑ วรรค ๒ ไม่
ข้อต่อมาจำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าบุตรมีความประสงค์จะไม่ใช้นามสกุลของบิดาหรือต้องากรใช้นามสกุลของมารดา โจทก์กระทำไปโดยไม่มีอำนาจโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกานี้ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยโดยเห็นว่าเป็นปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยประชาชน ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่สมควรที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยจึงได้ฎีกาขึ้นมา
ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้นขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวดังได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรทั้งสองไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นวินิจฉัยและอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง
พิพากษายืน

Share