คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165 (16) ที่ว่า “สิทธิเรียกร้องของบุคคลผู้เป็นคู่ความเรียกเอาเงินที่ได้จ่ายล่วงหน้าให้แก่ทนายความของตน มีกำหนดอายุความสองปี” นั้น มิได้หมายความเฉพาะคู่ความและทนายความในคดีที่ฟ้องร้องกันในศาลแล้วเท่านั้นแต่ทนายความรวมถึงคู่ความและทนายความที่มอบและรับเงินกันในฐานะคู่ความและทนายความก่อนฟ้องคดีในศาลด้วย
สิทธิเรียกร้องเงินที่คู่ความได้จ่ายให้ทนายความล่วงหน้าคืน จะมีขึ้นก็ต่อเมื่อมีการเลิกสัญญา กลับคืนฐานะเดิม การที่ทนายความมิได้จัดการฟ้องลูกหนี้ตามหน้าที่เป็นเวลา 3 ปีเศษ ยังไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าได้มีการเลิกสัญญากันแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๐๓ ได้มอบให้จำเลยซึ่งเป็นทนายความฟ้องลูกหนี้จำเลยเรียกเงินค่าธรรมเนียมรวมทั้งค้าจ้างไว้ ๒,๗๐๐ บาท แล้วไม่จัดการฟ้องลูกหนี้ให้ตามหน้าที่เป็นเวลา ๓ ปีเศษ เดือนเมษายน ๒๕๐๗ โจทก์จ้างทนายอื่นฟ้อง ขอให้ศาลบังคับจำเลยคืนเงินค่าธรรมเนียมและค่าจ้างที่เรียกไว้ กับให้ใช้ค่าจ้างและค่าใช้จ่ายที่โจทก์เสียให้ทนายใหม่อีก ๓,๐๐๐ บาทด้วย
จำเลยให้การว่า โจทก์ตกลงจะให้ค่าจ้างเหมา ๕,๐๐๐ บาท แต่ชำระเพียง ๒,๗๐๐ บาท แล้วไม่ชำระค่าจ้างตามสัญญา ธันวาคม ๒๕๐๔ โจทก์รับหลักฐานคืนไป ฯลฯ และว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ
ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน แล้ววินิจฉัยว่าคดีโจทก์ขาดอายุความ ส่วนเงิน ๓,๐๐๐ บาท ก็ไม่ใช่ค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๖๕ (๑๖) มิได้หมายความเฉพาะคู่ความและทนายความในคดีที่ฟ้องร้องกันในศาลแล้วเท่านั้นแต่หมายความรวมถึงคู่ความและทนายความที่มอบและรับเงินกันในฐานะคู่ความและทนายความก่อนฟ้องคดีในศาลด้วย แต่คดีนี้ยังไม่ได้ความชัดพอที่จะวินิจฉัยว่าฟ้องของโจทก์ขาดอายุความ ๒ ปีดังกล่าวแล้ว เพราะยังไม่ได้ความแน่ชัดว่าสิทธิเรียกร้องของโจทก์ที่จะเรียกเงิน ๒,๗๐๐ บาทที่จ่ายล่วงหน้าแก่จำเลยคืนนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด การที่โจทก์มอบเงิน ๒,๗๐๐ บาทแก่จำเลย และจำเลยรับจะว่าความให้โจทก์นั้น หาได้ก่อให้เกิดสิทธิเรียกร้องที่โจทก์จะเรียกเงิน ๒,๗๐๐ บาทคืนจากจำเลยในทันใดที่ได้มอบเงินแก่จำเลยไม่ แต่จะมีสิทธิเรียกร้องเงินจำนวนนี้คืนต่อเมื่อมีการเลิกสัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิม และโจทก์เรียกเงินคืนในฐานะคู่ความกับทนายความ ที่โจทก์กล่าวในฟ้องว่า จำเลยประวิง มิได้จัดการฟ้องลูกหนี้ตามหน้าที่เป็นเวลา ๓ ปีเศษนั้น ไม่เป็นเหตุที่จะถือว่าได้มีการเลิกสัญญากันแล้ว เพราะโจทก์ยังกล่าวในฟ้องต่อไปว่า โจทก์ได้ติดต่อกับจำเลยกว่า ๑๐ ครั้งจำเลยก็แจ้งว่าได้ฟ้องแล้ว แสดงว่าโจทก์จำเลยยังถือว่ามีสัญญาผูกพันกันอยู่มิได้เลิกสัญญากัน จนจำเลยได้นัดไปรับเงินคืนเมื่อกรกฎาคม ๒๕๐๗ ก่อนโจทก์ฟ้องไม่ถึง ๒ ปี ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์รับหลักฐานคืนไปเมื่อธันวาคม ๒๕๐๔ นั้น โจทก์ก็มิได้รับตามที่จำเลยอ้างนี้ จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาฟังพยานหลักฐานต่อไป
พิพากษายืน.

Share