แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 สามคราวโดยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้สามฉบับ ลงวันที่ต่างกัน และแนบสำเนาสัญญามาท้ายฟ้อง จำเลย 3 ให้การปฏิเสธไม่รับรองสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง และว่า ได้เคยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้ครั้งเดียวจึงขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้ ถือว่าคำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ชัดแจ้งว่า ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้คราวใด รับหรือปฏิเสธสำเนาสัญญาท้ายฟ้องฉบับไหน เพียงใดหรือไม่ จึงเป็นคำให้การปฏิเสธลอย ไม่มีประเด็นที่จำเลยที่ 3 จะนำสืบได้ การที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 นำสืบ และให้พิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ 3ไม่มีสิทธินำสืบ และไม่ได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องลายมือชื่อในสัญญาไว้ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาและนอกประเด็นพิพาทรับฟังไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดจำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์รวมสามคราว โดยมีจำเลยที่ 3 เข้าผูกพันรับเป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วมตามสำเนาสัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหมายเลข 5, 6, 7 ต่อมาเมื่อคิดหักทอนบัญชีกัน จำเลยที่ 1 เป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ 371,977 บาท โจทก์ทวงถามแล้วจำเลยไม่ชำระ จึงขอให้จำเลยที่ 1 กับที่ 2 ซึ่งเป็นหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกัน ร่วมกันรับผิดชำระเงินดังกล่าวพร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ และขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 3 ให้การว่า สัญญาค้ำประกันท้ายฟ้องหมายเลข 5, 6, 7จะมีข้อความถูกกับต้นฉบับตัวจริงหรือไม่ จำเลยไม่รับรอง เพราะสัญญาคู่ฉบับไม่มีอยู่ที่จำเลย จำเลยจำได้แน่นอนว่าได้เคยทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ให้ไว้แก่โจทก์ครั้งเดียว ในการที่จำเลยที่ 1 ขอกู้และเบิกเงินเกินบัญชีต่อธนาคารโจทก์ และในสัญญานั้นได้ระบุเรื่องระยะเวลาจำกัดเพียง 1 ปีเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า จำเลยที่ 3 เข้าทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ถึงสามคราว เป็นเอกสาร 3 ฉบับ จึงขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ทั้งโจทก์ละเลยไม่ทวงถามเรียกหนี้สินจากจำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด 1 ปี จำเลยที่ 3 ย่อมหลุดพ้นจากการค้ำประกันตามเงื่อนเวลาดังกล่าว ส่วนดอกเบี้ยนั้น เมื่อครบกำหนด 1 ปีแล้ว การคิดดอกเบี้ยทบต้นต้องระงับ โจทก์จะเรียกได้เพียงอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีเท่านั้น ขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีทั้งสามฉบับที่ฟ้อง พร้อมทั้งดอกเบี้ยทบต้นจนถึงวันผิดนัด และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14 ต่อปีโดยไม่ทบต้น ตั้งแต่วันผิดนัดไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 3 นั้น ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงไม่อาจฟังได้ว่าได้ทำสัญญาค้ำประกันครั้งที่ 2 และ 3 ให้โจทก์ไว้ตามเอกสาร จ.6 จ.10 พิพากษาให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดชำระเงินเพียงในวงเงินไม่เกินหนึ่งแสนบาท
โจทก์อุทธรณ์ให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 รับผิดเต็มจำนวนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำให้การของจำเลยที่ 3 ที่ว่า ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้จริงเพียงครั้งเดียว อีก 2 ครั้งปฏิเสธ นั้นจำเลยไม่แสดงโดยชัดแจ้งว่าไม่ได้ทำให้โจทก์ไว้เพราะเหตุใด เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรค 2 จึงไม่มีประเด็นที่จะนำสืบได้ ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 นำสืบและส่งพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญาเป็นการไม่ถูกต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ในวงเงิน 250,000 บาท ตามสัญญาค้ำประกันทั้งสามฉบับพร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14 ต่อปีนับแต่วันผิดนัดไปจนกว่าจะชำระเงินเสร็จ
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 บรรยายว่าจำเลยที่ 3 ยอมตนเข้าผูกพันค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ทั้งสามคราว ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้แก่โจทก์ไว้ 3 ฉบับ เป็นเงิน 250,000 บาท กับได้แนบสำเนาสัญญาดังกล่าวมาท้ายฟ้อง จำเลยที่ 3 คงให้การปฏิเสธเพียงว่า ไม่รับรองสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง และว่าจำได้แน่นอนว่าได้เคยทำสัญญาค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ให้โจทก์ไว้ครั้งเดียว ระบุเวลาจำกัดเพียง 1 ปีฟ้องโจทก์ว่าจำเลยที่ 3 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1สามคราวเป็นเอกสาร 3 ฉบับ จึงขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้คำให้การของจำเลยที่ 3 ไม่ชัดแจ้งว่าทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้คราวใด รับหรือปฏิเสธสำเนาสัญญาท้ายฟ้องฉบับไหนเพียงใดหรือไม่คงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยที่ 3 ปฏิเสธ คำให้การของจำเลยที่ 3 จึงเป็นคำให้การปฏิเสธลอย ไม่มีประเด็นที่จะนำสืบได้ ที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 นำสืบ และให้พิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกัน ทั้งที่จำเลยที่ 3 ไม่มีสิทธินำสืบ และมิได้ให้การต่อสู้เป็นประเด็นในเรื่องลายมือชื่อในสัญญาไว้ จึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา และนอกประเด็นพิพาท รับฟังไม่ได้ และเมื่อคดีฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบว่าจำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาค้ำประกันการกู้เบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ไว้ทั้งสามคราว จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดตามสัญญาดังกล่าว
พิพากษายืน