แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ซื้อที่ดินจากจำเลย 1 แปลงอยู่หมู่ที่ 1ตำบลหัวเมือง อำเภอสอง จังหวัดแพร่ ต่อมาจำเลยเข้ายื้อแย่งบุกรุกทำกินโดยพลการ ทำให้โจทก์เสียหายขอให้ขับไล่ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และเรียกค่าเสียหายนั้น เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัด ซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว ไม่จำต้องบรรยายว่าบุกรุกยื้อแย่งที่ตรงไหน เป็นเนื้อที่เท่าใด และมาทำอะไรกินซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบภายหลังได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ซื้อที่ดินจากจำเลย ๑ แปลง เนื้อที่ ๖ ไร่เศษราคา ๓,๐๐๐ บาท อยู่หมู่ที่ ๑ ตำบลหัวเมือง อำเภอสอง จังหวัดแพร่แล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองเป็นเจ้าของและทำกินตลอดมา จนกระทั่งราวต้นเดือนพฤษภาคม ๒๕๑๒ จำเลยมาขอซื้อที่ดินแปลงนี้คืนจากโจทก์โจทก์ไม่ยอมขายให้ จำเลยจึงเข้ายื้อแย่งบุกรุกทำกินโดยพลการ ทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจเข้าทำประโยชน์ในที่ดินได้ต้องขาดรายได้เป็นเงิน ๓,๒๕๐ บาทจึงขอให้ขับไล่จำเลย ห้ามมิให้เกี่ยวข้อง และให้ใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เป็นความจริง ความจริงจำเลยเอาสวนตามฟ้องให้โจทก์ทำกินต่างดอกเบี้ย และว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีก กับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยอ้างมาในคำให้การว่า โจทก์ฟ้องแต่เพียงว่าจำเลยเข้ามายื้อแย่งบุกรุกทำกินโดยพลการ ไม่ได้บรรยายว่าบุกรุกยื้อแย่งที่ตรงไหน เป็นเนื้อที่เท่าใดมาทำอะไรกิน ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุมนั้นศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วไม่จำต้องบรรยายว่าบุกรุกยื้อแย่งที่ตรงไหน เป็นเนื้อที่เท่าใด และมาทำอะไรกินซึ่งเป็นรายละเอียดที่โจทก์อาจนำสืบภายหลังได้ ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
พิพากษายืน