คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1280/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญายอมความที่จำเลยตกลงแบ่งเงินของเจ้ามรดกในธนาคารให้โจทก์โดยเฉพาะนั้น เมื่อเงินไม่มีอยู่ในธนาคารโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยแล้ว สัญญาแบ่งเงินนั้นก็ไม่มีผลผูกพันทรัพย์อื่นของจำเลย ฉะนั้น โจทก์จะขอให้ยึดทรัพย์จำเลยมาใช้เงินตามสัญญานั้นไม่ได้

ย่อยาว

คดีนี้ เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยซึ่งเป็นมารดาเลี้ยง ขอแบ่งทรัพย์อ้างว่าเป็นมรดกของนายคำบิดา ทรัพย์อันดับ ๗ คือ เงินสดฝากธนาคารเกษตร สาขาอำเภอบางมูลนาค ๔๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การปฏิเสธ
ก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอม ยอมความต่อศาลว่า จำเลยยอมแบ่งเงินมรดกที่ธนาคารให้โจทก์ ๖,๕๐๐ บาท โจทก์ยอมรับเงินจำนวนนี้ ไม่เกี่ยวข้องในทรัพย์มรดกรายนี้อีก
ต่อมาศาลออกหมายบังคับคดียึดที่นา ๑ แปลง เรือน ๑ หลัง ตามคำขอของโจทก์ ซึ่งอ้างว่าจำเลยถอนเงินในธนาคารไปหมดแล้ว
จำเลยยื่นคำร้องคัดค้าน ขอให้ศาลสั่งถอนการยึด และขอให้ศาลสอบถามธนาคาร ได้รับตอบจากธนาคารว่า นายคำไม่เคยฝากเงินต่อธนาคารเลย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การที่จำเลยยอมยกเงินในธนาคารให้โจทก์ ก็เท่ากับยอมให้เงินโจทก์เป็นจำนวนดังกล่าว เงินนี้จะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญ เมื่อปรากฎว่าไม่มีเงินในธนาคาร จำเลยก็ต้องรับผิดใช้เงิน ให้ยกคำร้องจำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามสัญญายอมความปรากฎชัดว่า จำเลยยอมแบ่งเงินในธนาคารให้แก่โจทก์ทั้งนี้ อาจจะเป็นโดยจำเลยเห็นว่า เมื่อแบ่งให้โจทก์เสีย ๖,๕๐๐ บาท จำเลยคงมีเงินเหลือ ๓๓,๕๐๐ บาท ซึ่งเป็นส่วนได้ของจำเลย จะถือว่าเมื่อจำเลยตกลงเช่นนั้นแล้วก็เท่ากับจำเลยยอมยกเงินให้โจทก์เป็นจำนวนดังกล่าว เงินจะอยู่ที่ไหนไม่สำคัญหาได้ไม่ เพราะจำเลยยังเถียงอยู่ว่า ทรัพย์อย่างอื่นที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งไม่ใช่ทรัพย์มรดกเป็นสินเดิมของจำเลย บางอย่างก็ไม่มี จำเลยไม่ได้ตกลงยอมให้เงินของจำเลยเพื่อมิให้โจทก์แบ่งทรัพย์มรดกอย่างอื่น หากแต่จำเลยตกลงแบ่งเฉพาะเงินที่มีอยู่ในธนาคารเท่านั้น เมื่อปรากฎว่าเงินไม่มีอยู่ในธนาคารโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย สัญญาแบ่งเงินก็ไม่มีผลผูกพันทรัพย์อื่น ของจำเลย โจทก์จะขอให้ยึดทรัพย์อื่นของจำเลยมาใช้เงินตามสัญญายอมไม่ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ถอนการยึดทรัพย์จำเลยชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share