คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เช่าซื้อรถยนต์ที่ชำระเงินค่าเช่าซื้อยังไม่ครบนั้น เมื่อมีใครมาทำละเมิดแก่รถยนต์ที่เช่าซื้อจนเกิดเสียหายและขาดประโยชน์การใช้ ย่อมถือว่าผู้เช่าซื้อเป็นผู้เสียหาย และมีสิทธิฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ทำละเมิดนั้นได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์บรรทุกและเป็นตัวแทนของจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๐๓ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกยี่ห้อจิ๊ปใหญ่ของจำเลยที่ ๒ ไปเพื่อกิจการค้าของจำเลยที่ ๒ ด้วยความประมาทพุ่งเข้าชนรถยนต์บรรทุกของโจทก์ที่ ๑ ซึ่งโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ขับขี่เสียหายทั้งคัน และโจทก์ที่ ๒ ได้รับอันตรายสาหัสกระดูกหักถึงสอบ ที่ทางแยกถนนอำเภอสีคิ้วจะเข้าถนนมิตรภาพ โจทก์ทั้งสองจึงฟ้องเรียกค่าเสียหายและค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสองเป็นเงิน ๕๐,๐๕๒ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับจากวันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การรับตามฟ้อง เว้นแต่เรื่องค่าเสียหายที่โจทก์ฟ้องนั้นสูงเกินความจริง
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๑ เมาสุราแล้วถือวิสาสะขับรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ที่จอดเก็บไว้ไปเที่ยว จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดต่อโจทก์แต่ผู้เดียว
ขั้นพิจารณา ระหว่าโจทก์ที่ ๑ กำลังเบิกความยังไม่เสร็จ โจทก์จำเลยตกลงกันในเรื่องค่าเสียหายว่า หากศาลฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์แล้ว จำเลยขอชำระให้เป็นเงิน ๓๒,๕๐๐ บาท โจทก์พอใจ ทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยานในประเด็นค่าเสียหายต่อไป
ศาลจังหวัดนครราชสีมาพิจารณาแล้วเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ขณะทำละเมิด จำเลยที่ ๒ ใช้ให้จำเลยที่ ๑ นำรถยนต์กลับบ้าน จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าสินไหมทดแทน ๓๒,๕๐๐ บาทพร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับจากวันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ +ค่าทนาย ๓๐๐ บาทแก่โจทก์
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน กับให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความขั้นอุทธรณ์ให้โจทก์ ๑๕๐ บาท
จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ในขณะทำละเมิด
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว จำเลยที่ ๒ ฎีกาข้อแรกว่า โจทก์ที่ ๑ ให้การไว้ชั้นสอบสวนในคดีอาญาที่จำเลยที่ ๑ ต้องหาว่าขับรถโดยประมาทว่า โจทก์ที่ ๑ เช่าซื้อรถยนต์คันที่ถูกชนมาจากบริษัทธนบุรี จำกัด ยังชำระเงินไม่หมด ฉะนั้น โจทก์ที่ ๑ จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะรถยังเป็นของบริษัทธนบุรีจำกัดอยู่ หาใช่ของโจทก์ที่ ๑ ไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า แม้หากโจทก์ที่ ๑ จะขำระเงินค่าเช่าซื้อรถยนต์คันนี้ยังไม่ครบตามฎีกาของจำเลยก็ตาม แต่โจทก์ที่ ๑ ในฐานะผู้เช่าซื้อย่อมมีสิทธิที่จะยึดถือและใช้ประโยชน์ตลอดจนมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์คันนี้ให้อยู่ในสภาพใช้การไดดีตลอดไป และเมื่อได้ใช้เงินให้ครบถ้วนตามสัญญาเช่าซื้อแล้ว รถยนต์ย่อมตกเป็นสิทธิแก่โจทก์ที่ ๑ หรือ+เลิกสัญญาเช่าซื้อกัน โจทก์ที่ ๑ ก็มีหน้าที่ต้องส่งมอบรถยนต์คืนผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเดิม ฉะนั้น เมื่อจำเลยทำละเมิดจนรถยนต์ดังกล่าวเสียหายและขาดประโยชน์การใช้ โจทก์ที่ ๑ ย่อมเป็นผู้เสียหายและต้องถือว่าจำเลยได้ทำละเมิดโดยตรงต่อโจทก์ที่ ๑ โจทก์ที่ ๑ จึงอยู่ในฐานะที่จะฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้
ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาว่า ขณะทำละเมิด จำเลยที่ ๑ มิใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ นั้น ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ตอนเกิดเหตุจำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์เพื่อนำกลับบ้านตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในทางการที่จ้างและตามคำสั่งของจำเลยที่ ๒ ฉะนั้น จำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ ในผลแห่งละเมิดนั้น
เหตุนี้ จึงพิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลยที่ ๒ เสีย และให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา +๐๐ บาทแก่โจทก์ด้วย

Share