แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 เป็นสมมีภรรยากันแต่หย่าขาดจากกันแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นพี่สาวจำเลยที่ 1วันเกิดเหตุจำเลยที่ 1 ไปซื้อของในตลาดสดได้พบกับโจทก์ร่วม ส่วนจำเลยที่ 2 นั่งทอดขนมอยู่ในตลาดสดนั้นโจทก์ร่วมหมิ่นประมาทรังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยพูดว่าจำเลยที่ 1 เล่นชู้ จำเลยที่ 1 พูดว่าอย่าพูดมากโจทก์ร่วมเข้ากอดจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกไปและว่ากล่าวโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมกลับมาจับนมจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 จึงตบหน้าโจทก์ร่วม 1 ที แล้วโจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยที่ 1 ทั้งสองข้าง และเตะที่ชายโครง สะโพก และขาจำเลยที่ 1 ล้ม โจทก์ร่วมดึงผมจำเลยที่ 1 ให้ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้อง จำเลยที่ 1 จึงใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นหญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตร โจทก์ร่วมสูง170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัม สูงใหญ่กว่าจำเลยที่ 1มากไม่มีหนทางที่จำเลยที่ 1 จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลยการที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วมเพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย และบาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่าหากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 2885 ประกอบด้วยมาตรา 80และมาตรา 69 จำเลยที่ 2 เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมไปเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้มีดปลายแหลมขนาดความยาวรวมทั้งด้าม 22 เซนติเมตร ตัวมีดยาว12 เซนติเมตร คมมีดกว้าง 4 เซนติเมตร ปลายมีดกว้างครึ่งเซนติเมตร และไม้ฟืนขนาดความยาว 43 เซนติเมตรวัดรอบได้ 15 เซนติเมตร เป็นอาวุธ โดยร่วมกันใช้มีดแทงนายทองคำ ผู้เสียหายโดยแรง จำนวน 3 ครั้ง ถูกบริเวณหน้าอก ที่หน้าท้องทะลุถึงช่องท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายทะลุถึงช่องท้องและลำไส้ของผู้เสียหายแตกมีบาดแผลโลหิตไหล แล้วได้ร่วมกันใช้ไม้ฟืนตีผู้เสียหาย 1 ครั้งถูกบริเวณกลางศีรษะของผู้เสียหายแตกมีบาดแผลโลหิตไหลโดยเจตนาฆ่า ทั้งนี้จำเลยทั้งสองร่วมกันลงมือกระทำความผิดไปตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 288, 33 ริบมีดและไม้ฟืนของกลาง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การต่อสู้อ้างเหตุป้องกัน
ระหว่างพิจารณา นายทองคำ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบมาตรา 69ให้จำคุก 2 ปี มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ลดโทษให้หนึ่งในสาม คงเหลือโทษจำคุกจำเลยที่ 1ไว้ 1 ปี 4 เดือน มีดของกลางริบ ส่วนไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้คืนแก่จำเลยที่ 2 ไป ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
โจทก์ร่วมและจำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80, 83 ลงโทษจำคุกคนละ 15 ปี มีเหตุบรรเทาโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามคงลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 10 ปีริบไม้ฟืนของกลาง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ก่อนเกิดเหตุขณะที่จำเลยที่ 1 กำลังเดินหาซื้อของอยู่พบกับโจทก์ร่วมกำลังเลือกซื้อห่อหมกอยู่ในตลาดโจทก์ร่วมพูดกระแทกใส่จำเลยที่ 1 ว่าเที่ยวชอบเล่นชู้จำเลยที่ 1 ตอบกลับไปว่าอย่าพูดมากหลายโจทก์ร่วมเข้ามากอดจำเลยที่ 1 ผลักโจทก์ร่วมออกแล้วบอกว่าอย่าทำอย่างนี้อับอาย โจทก์ร่วมไม่ฟังกลับมาจับนมจำเลยที่ 1 อีก จำเลยที่ 1จึงตบหน้าโจทก์ร่วมไป 1 ครั้ง โจทก์ร่วมตบหน้าจำเลยทั้งสองข้างและเตะบริเวณชายโครงข้างซ้ายขวา สะโพก และขาจำเลยที่ 1 ล้มและดึงผมจำเลยที่ 1 ลุกขึ้นใช้เข่ากระแทกบริเวณหน้าท้องจำเลยที่ 1 ใช้มีดที่อยู่ในย่อมสะพายแทงโจทก์ร่วมครั้งเดียวเห็นว่าแม้จำเลยที่ 1 จะเบิกความเกินเลยและขาดไปบ้างในข้อที่ว่าจำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียว ก็โดยเจตนาเพื่อจะให้ตนพ้นความผิดเท่านั้น ไม่ถึงกับจะทำให้คำเบิกความของจำเลยที่ 1 รับฟังไม่ได้เสียเลยเพราะจะเห็นได้ว่า จำเลยที่ 1ก็ได้รับบาดเจ็บที่ปลายคางซ้ายบวมเขียวชายโครงซ้ายบวมแดงตามรายงานผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ ซึ่งเป็นการยืนยันว่า จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมทำร้ายจริงข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 จะใช้มีดแทงโจทก์ร่วมนั้น จำเลยที่ 1 ถูกโจทก์ร่วมพูดจาหมิ่นประมาทรังแกและทำร้าย จำเลยที่ 1 เป็นผู้หญิงสูงเพียง 150 เซนติเมตรส่วนโจทก์ร่วมสูง 170 เซนติเมตร หนัก 62 กิโลกรัมรูปร่างใหญ่กว่าจำเลยที่ 1 มากไม่มีหนทางที่จะต่อสู้กับโจทก์ร่วมได้เลย การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดซึ่งอยู่ในถุงย่ามที่สะพายติดตัวมาแทงโจทก์ร่วม เพื่อมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อป้องกันสิทธิของตนให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการที่ถูกโจทก์ร่วมประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง แต่การที่จำเลยที่ 1 ใช้มีดแทงโจทก์ร่วมถึง 3 ครั้ง ตรงอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย บาดแผลที่หน้าท้องและที่ด้านข้างลำตัวด้านซ้ายมือ เลือดจากกล้ามเนื้อหน้าท้องไหลลงไปในช่องท้องประมาณ 1,500 ซี.ซี. ซึ่งแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลลงความเห็นว่า หากบำบัดรักษาไม่ทันอาจทำให้ถึงตายได้ เนื่องจากเสียเลือดมาก จึงเป็นการกระทำที่เกินสมควรแก่เหตุ จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมโดยป้องกันสิทธิของตนเกินสมควรแก่เหตุตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 69 ส่วนจำเลยที่ 2 ข้อเท็จจริงได้ความแต่เพียงว่าได้เข้าไปช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ในขณะที่โจทก์ร่วมกำลังทำร้ายจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 หยิบไม้ฟืนที่เป็นเชื้อเพลิงใช้ทำขนมซึ่งวางอยู่ใกล้ตัวตีโจทก์ร่วมเพียงครั้งเดียวและไม่เลือกว่าที่ส่วนไหนของร่างกายเพื่อป้องกันมิให้โจทก์ร่วมทำร้ายจำเลยที่ 1 เมื่อตีแล้วก็โยนไม้ทิ้งและนั่งขายขนมฝักบัวต่อไป ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 กระทำไปโดยฉับพลันทันทีเพื่อป้องกันจำเลยที่ 1 ให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงย่อมถือได้ว่าเป็นการกระทำป้องกันพอสมควรแก่เหตุจำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดและเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีที่ว่า โจทก์ร่วมเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อเหตุพูดจาหมิ่นประมาท รังแกและทำร้ายจำเลยที่ 1 ก่อนอันเป็นข้อน่าเห็นใจจำเลยที่ 1เป็นอย่างมาก ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1ได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงมีเหตุอันควรปรานี สมควรลงโทษจำเลยที่ 1 ในสถานเบา และรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้เพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีต่อไป
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 ประกอบด้วยมาตรา 69จำคุก 2 ปี มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ลดโทษหนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 4 เดือนให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไว้ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ไม้ฟืนของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดให้คืนแก่เจ้าของไป นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1