คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12756/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวว่าได้ทำโฉนดที่ดินซึ่ง บ. และจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันสูญหาย และแจ้งให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายแล้วนำบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายและหนังสือมอบอำนาจไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดินแล้วนำใบแทนโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจปลอมไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ เพื่อให้มีรายการแก้ไขจดทะเบียนโฉนดที่ดินจากชื่อ บ. มาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียวจำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 มีส่วนได้เสียในที่ดินที่รับโอนทั้งลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจและติดต่อ อ. ให้ประสานกับเจ้าพนักงานที่ดิน เช่นนี้ย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดมาตั้งแต่แรก และแม้การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการกระทำคนละวันและต่อเจ้าพนักงานคนละหน่วยงานกัน แต่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน คือ เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวตกมาเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาปัญหาดังกล่าว แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91,137, 264, 267, 268 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 694/2554 ของศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางปิยะพรรณ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 83 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 4 เดือน ฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมกับฐานร่วมกันแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานและฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมแต่กระทงเดียว จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุกคนละ 12 เดือน รวมจำคุกคนละ 16 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 694/2554 ของศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 1 และที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วยและยกคำขอให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ สำหรับความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ (แจ้งว่าโฉนดที่ดินสูญหาย) นั้น โจทก์และโจทก์ร่วมมีโจทก์ร่วมและนายบุญเสริมเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากนางบุญช่วยถึงแก่ความตายแล้ว เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2551 จำเลยที่ 1 อ้างต่อนายบุญเสริมว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 51907 พร้อมบ้านที่ปลูกอยู่บนที่ดินเป็นของจำเลยที่ 1 จึงเกิดการทะเลาะกัน นายบุญเสริมตบหน้าจำเลยที่ 1 หลังจากเกิดเหตุนายบุญเสริมถามโจทก์ร่วมเกี่ยวกับโฉนดที่ดินซึ่งทุกคนทราบว่านางบุญช่วยมอบให้โจทก์ร่วมเก็บรักษาไว้ เมื่อทราบว่าโฉนดที่ดินยังอยู่ที่โจทก์ร่วม วันที่ 4 มิถุนายน 2551 โจทก์ร่วมและนายบุญเสริมจึงพากันไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ พบว่าจำเลยที่ 1 ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินโดยใช้หนังสือมอบอำนาจที่มีข้อความระบุว่านางบุญช่วยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 กระทำการแทน มีจำเลยที่ 2 และที่ 4 ลงลายมือชื่อในช่องพยาน ตามหนังสือมอบอำนาจ สำเนารายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย อันเป็นเท็จ นางบุญช่วยไม่เคยมอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน ลายพิมพ์นิ้วมือในช่องผู้มอบอำนาจไม่ใช่เป็นของนางบุญช่วย อีกทั้งพันตำรวจโทผดุงศักดิ์เบิกความยืนยันว่า จำเลยที่ 1 แจ้งต่อพยานว่าโฉนดที่ดินสูญหาย จำเลยที่ 1 เพียงแต่เบิกความลอย ๆ ว่า จำเลยที่ 1 สอบถามมารดาและพี่ ๆ ทุกคนแล้วไม่ทราบว่าโฉนดที่ดินอยู่ที่ใด จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง เชื่อว่าจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าโฉนดที่ดินอยู่ที่โจทก์ร่วมไม่ได้สูญหาย แต่กลับไปแจ้งต่อพันตำรวจโทผดุงศักดิ์ว่าโฉนดที่ดินสูญหาย เป็นเหตุให้พันตำรวจโทผดุงศักดิ์จดบันทึกลงในรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหาย แล้วจำเลยที่ 1 นำไปใช้เป็นหลักฐานในการขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหายและแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137 และมาตรา 267 ส่วนความผิดฐานใช้เอกสารปลอม (หนังสือมอบอำนาจ) ฐานแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ลายพิมพ์นิ้วมือและลายมือชื่อผู้มอบอำนาจในหนังสือมอบอำนาจ ไม่ใช่เป็นของนางบุญช่วย แต่เป็นการปลอมลายพิมพ์นิ้วมือและลายมือชื่อของนางบุญช่วยขึ้นมา การที่จำเลยที่ 1 ใช้หนังสือมอบอำนาจดังกล่าวอ้างยืนยันต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าเป็นเอกสารที่ถูกต้องเพื่อขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและขอโอนที่ดินเฉพาะส่วนของนางบุญช่วยเป็นของตน ประกอบกับจำเลยที่ 1 ทราบดีว่าโฉนดที่ดินฉบับจริงอยู่ที่โจทก์ร่วมดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้น เช่นนี้บ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 1 ทราบอยู่แล้วว่าหนังสือมอบอำนาจดังกล่าวเป็นเอกสารปลอมแต่ยังนำไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อให้เจ้าพนักงานที่ดินจดข้อความอันเป็นเท็จลงในคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน เอกสารบันทึกถ้อยคำ อันเป็นเอกสารราชการเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการออกใบแทนโฉนดที่ดิน และจดข้อความอันเป็นเท็จลงในหนังสือสัญญาให้ที่ดินเฉพาะส่วนอันเป็นเอกสารราชการเพื่อใช้เป็นพยานหลักฐานในการแก้ไขรายการจดทะเบียนโฉนดที่ดินแล้วแก้ไขรายการจดทะเบียนโฉนดที่ดินจากชื่อนางบุญช่วยเป็นชื่อจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการใช้เอกสารปลอม แจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก มาตรา 137 และมาตรา 267 สำหรับจำเลยที่ 2 นั้น แม้พันตำรวจโทผดุงศักดิ์ไม่ได้เบิกความว่าจำเลยที่ 2 อยู่ด้วยในขณะที่จำเลยที่ 1 ไปแจ้งความว่าโฉนดที่ดินสูญหาย แต่นายพันธมิตรเบิกความว่า จำเลยที่ 2 ไปกับจำเลยที่ 1 ในวันที่ขอออกใบแทนโฉนดที่ดินและให้ถ้อยคำว่าโฉนดที่ดินสูญหายด้วย นายสมภพก็เบิกความว่า จำเลยที่ 2 ไปกับจำเลยที่ 1 ในวันโอนที่ดินเฉพาะส่วนของนางบุญช่วยให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เป็นสามีของจำเลยที่ 1 มีส่วนได้เสียในที่ดินที่รับโอน ทั้งลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจ และติดต่อนายอภิสานให้ประสานกับเจ้าพนักงานที่ดิน เช่นนี้ย่อมรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมรู้เห็นเป็นใจกับจำเลยที่ 1 ในการกระทำความผิดมาตั้งแต่แรกพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมที่นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่าก่อนนางบุญช่วยถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 1 เคยปรึกษานางบุญช่วยแล้วนางบุญช่วยให้จำเลยที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในส่วนของนางบุญช่วยเป็นของจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 สอบถามนางบุญช่วยและพี่ ๆ ทุกคนแล้วไม่มีใครทราบว่าโฉนดที่ดินอยู่ที่ใด นางบุญช่วยพิมพ์ลายนิ้วมือและลงลายมือชื่อในหนังสือมอบอำนาจด้วยตนเองนั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วม ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วมสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันนั้น เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลาดพร้าวว่าได้ทำโฉนดที่ดินซึ่งนางบุญช่วยและจำเลยที่ 1 ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันสูญหาย และแจ้งให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จลงในบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายแล้วนำบันทึกรายงานประจำวันรับแจ้งเอกสารหายและหนังสือมอบอำนาจปลอมไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ เพื่อขอรับใบแทนโฉนดที่ดิน แล้วนำใบแทนโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจปลอมไปใช้และอ้างแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางกะปิ เพื่อให้มีรายการแก้ไขจดทะเบียนโฉนดที่ดินจากชื่อนางบุญช่วยมาเป็นชื่อของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว แม้การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามขั้นตอนต่าง ๆ ดังกล่าว เป็นการกระทำคนละวันและต่อเจ้าพนักงานคนละหน่วยงานกัน แต่เป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน คือ เพื่อให้ที่ดินดังกล่าวตกมาเป็นของจำเลยที่ 1 แต่เพียงผู้เดียว การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกาปัญหาดังกล่าว แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และยังเห็นว่า พินัยกรรมของนางบุญช่วย นางบุญช่วยยกกรรมสิทธิ์กึ่งหนึ่งที่มีอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 51907 และบ้านที่ปลูกอยู่ให้แก่จำเลยที่ 1 แล้ว ความเสียหายที่เกิดขึ้นจึงไม่ร้ายแรงมากนัก อีกทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้รับโทษจำคุกมาก่อน คำขอของโจทก์ที่ให้นับโทษจำเลยที่ 1 คดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 694/2554 (หมายเลขแดงที่ 2036/2554) ของศาลชั้นต้นนั้น ก็ปรากฏว่าในคดีดังกล่าวศาลฎีการอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และเพื่อให้เกิดความสมานฉันท์ระหว่างบรรดาญาติพี่น้องที่ขัดแย้งกัน จึงเห็นควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 แต่เพื่อให้หลาบจำจึงเห็นควรลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 267, 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรก, 267, 83 เป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันใช้เอกสารราชการอันได้จากการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 6 เดือน และปรับคนละ 6,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ยกคำขอของโจทก์ที่ให้นับโทษจำเลยที่ 1 คดีนี้ต่อจากโทษจำเลยในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 694/2554 (หมายเลขแดงที่ 2036/2554) ของศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share