แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
บรรยายฟ้องว่าให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อที่ค้างชำระตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ระบุจำนวนหนี้ที่ค้างอยู่อย่างชัดแจ้งเป็นคำฟ้องที่ไม่เคลือบคลุม หนังสือรับสภาพหนี้กำหนดให้ชำระหนี้ทั้งหมดภายในวันที่31ธันวาคม2521เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าวเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดลงในวันที่31ธันวาคม2521ต้องเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันรุ่งขึ้น หนังสือมอบอำนาจของโจทก์ให้ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าซึ่งจำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่ายังเป็นหนี้ค่าสินค้าคือค่าน้ำมันและปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระแก่โจทก์(ผู้รับมอบอำนาจ)โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ได้ ตามหนังสือรับสภาพหนี้ระบุให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้ต่อศาลแพ่ง หนังสือรับสภาพหนี้ที่ระบุชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าจำนวนแน่นอนอยู่จริงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่ใช้ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า “…จำเลยได้ซื้อสินค้าเงินเชื่อไปจากโจทก์รวม9 รายการ เมื่อครบกำหนดจำเลยชำระหนี้บางส่วน ต่อมาวันที่ 13 ตุลาคม2521 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญารับสภาพหนี้ให้ไว้กับโจทก์ นับแต่จำเลยทำสัญญารับสภาพหนี้ดังกล่าว จำเลยได้ผ่อนชำระหนี้ให้ 2 ครั้งเป็นเงิน 80,000 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยจะต้องชำระให้โจทก์อีก177,711.79 บาท…”
จำเลยให้การว่า “…หนังสือมอบอำนาจท้ายฟ้องระบุให้ผู้รับมอบอำนาจยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่งให้ชำระค่าสินค้าไม่ใช่ให้ฟ้องบังคับจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ หากจะฟ้องตามหนังสือสัญญารับสภาพหนี้โจทก์ต้องยื่นฟ้องที่ศาลจังหวัดชุมพรที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ จำเลยขอปฏิเสธว่าลายมือชื่อผู้รับสภาพหนี้ในสัญญารับสภาพหนี้ไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลย และไม่เป็นสัญญารับสภาพหนี้โดยชอบด้วยกฎหมาย คดีโจทก์ขาดอายุความ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม…”
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า “…พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 184,380 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในต้นเงิน 177,711.79 บาทนับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียม…”
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้น”…ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายโดยชัดแจ้งแล้วว่าให้จำเลยชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าเป็นเงินเชื่อที่ค้างชำระตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำไว้กับโจทก์ อันเป็นการบรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ก็ได้บรรยายไว้โดยชัดแจ้งว่าให้จำเลยชำระหนี้ที่ค้างอยู่เป็นจำนวนเท่าใด ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความนั้นเห็นว่าโจทก์ฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ กำหนดให้ชำระหนี้ทั้งหมด ภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2521 เมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในกำหนดดังกล่าว เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2521 โดยเริ่มนับหนึ่งตั้งแต่วันรุ่งขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 158 ครบกำหนด2 ปี ในวันที่ 31 ธันวาคม 2523 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 27มิถุนายน 2522 ภายในกำหนดอายุความ ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยโดยโจทก์มอบอำนาจให้นายทองสร้อย พันธุ์สมบัติ ฟ้องเรียกหนี้สิน แต่ผู้รับมอบอำนาจกลับเอาหนังสือรับสภาพหนี้มาฟ้องจำเลยและโจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยต่อศาลแพ่ง นอกจากนี้จำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวจากโจทก์ด้วยนั้น เห็นว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ได้มอบอำนาจให้ฟ้องเรียกให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้า ซึ่งจำเลยก็ได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ว่ายังเป็นหนี้ค่าสินค้าคือค่าน้ำมันที่จำเลยยังไม่ได้ชำระแก่โจทก์อยู่ดีหนี้ดังกล่าวปรากฏว่าจำเลยมิได้ชำระแก่โจทก์ โจทก์ย่อมฟ้องหรือมอบอำนาจให้ผู้ใดฟ้องแทนโจทก์ได้ และตามหนังสือสภาพหนี้ได้ระบุให้โจทก์ฟ้องคดีต่อศาลแพ่งซึ่งโจทก์มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลตามข้อพิพาทที่เกิดขึ้นได้ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยคดีนี้และฟ้องต่อศาลแพ่งได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 7(4) สำหรับข้อฎีกาที่ว่าจำเลยไม่ได้รับหนังสือบอกกล่าวจากโจทก์นั้น โจทก์มีหนังสือแจ้งทวงหนี้จากจำเลยตามหนังสือรับสภาพหนี้ โดยมีหลักฐานไปรษณีย์ตอบรับและจำเลยมีหนังสือตอบผัดผ่อน ฟังได้ว่าโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว
ที่จำเลยฎีกาว่าหนังสือเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 (จ.3) มิใช่เป็นหนังสือรับสภาพหนี้และจำเลยไม่ได้ลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้นั้น เห็นว่าหนังสือมีข้อความรับรองว่าเป็น “หนังสือสัญญารับสภาพหนี้” โดยจำเลยยอมรับว่าเป็นหนี้ค่าสินค้าบริษัทโจทก์ จำนวน257,711.79 บาท จำเลยยินยอมชำระหนี้ให้บริษัทโจทก์ตามจำนวนเงินและระยะเวลาสิ้นสุดไว้ด้วย ข้อความในหนังสือเอกสารดังกล่าวระบุไว้ชัดแจ้งปราศจากเคลือบคลุมว่าจำเลยยอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าสินค้าจำนวนแน่นอนอยู่จริง จึงเป็นหนังสือรับสภาพหนี้ที่ใช้ได้ ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้หรือไม่นั้น โจทก์มีนายอภิชาติ โกวิทย์กูลไกร ผู้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ เป็นพยายว่าได้นำหนังสือนี้ไปให้จำเลยลงชื่อที่ร้านของจำเลย และปรากฏว่าโจทก์ฟ้องเรียกเงินบางส่วนเฉพาะที่จำเลยค้างชำระเท่านั้น หาได้ฟ้องเรียกเต็มจำนวนตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้ไว้ไม่ ตามข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เชื่อได้ว่าจำเลยได้ลงชื่อในหนังสือรับสภาพหนี้ซึ่งจำเลยยังเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้อง
ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนโจทก์ 3,000บาท….”