คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 96/2529

แหล่งที่มา : ADMIN

ย่อสั้น

การกระทำซึ่งจะเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68ต้องเป็นการกระทำโดยเจตนาจำเลยเอาอาวุธปืนออกมาขู่ผู้ตายและทำปืนลั่นโดยประมาทถูกผู้ตายถึงแก่ความตายไม่ใช่กระทำโดยเจตนาการกระทำของจำเลยจึงมิใช่เป็นการป้องกัน.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)

ย่อยาว

โจทก์ ฟ้อง ว่า จำเลย ใช้ อาวุธปืน ยิง นาย วิรัตน์ ถนอมพันธุ์ โดยเจตนา ฆ่า ทำให้ ถึง แก่ ความตาย ทันที ขอ ให้ ลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288
จำเลย ให้การ ปฏิเสธ
ศาลชั้นต้น พิพากษา ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ให้ จำคุก ตลอดชีวิต
จำเลย อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ จำคุก จำเลย 20 ปี
จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า ใน คืน เกิดเหตุ จำเลย กับ ผู้ตาย มิได้ ทะเลาะโต้เถียง หรือ มี เหตุ โกรธเคือง กัน แต่ อย่างใด ใน ระหว่าง ที่ผู้ตาย กับ นาย ภิญโญ ชูจร มี ปากเสียง ชกต่อย กอดปล้ำ กัน จำเลยมิได้ พูด ว่ากล่าว ฝ่ายใด และ มิได้ เข้าร่วม ชกต่อย กรณี ไม่ มีเหตุ ที่ จำเลย จะ คิด ฆ่า หรือ ทำร้าย ผู้ตาย ใน คืน เกิดเหตุโจทก์ร่วม ได้ ให้ การ ต่อ ร้อยตำรวจโท ธเนศ แสงทอง ร้อยเวร และพันตำรวจตรี สุรินทร์ แป๊ะอุ้ย เพียงว่า ขณะที่ ผู้ตาย และ นาย ภิญโญชูจร ชกต่อย กอดปล้ำ กัน ผู้ตาย มี อาวุธปืน จำเลย ได้ เอา อาวุธปืนออก มา ถึง จ้อง ปาก กระบอกปืน ไป ที่ บุคคล ทั้งสอง พูดว่า ใคร อย่ายิง กัน ถ้า ใคร ยิง กู จะ ยิง ทันที หลังจาก ที่ นาย ภิญโญ ชูจรร้องว่า อ้ายรัตน์ ถูก ปืน แล้ว โจทก์ร่วม เห็น จำเลย ยัง ถือ อาวุธปืนอยู่ ใน ลักษณะ เดิม ศาลฎีกา เห็น ว่า คำให้การ ของ โจทก์ร่วม ได้ กระทำใน ทันที ทันใด หลัง เกิดเหตุ โจทก์ร่วม ไม่ มี โอกาส คิด เสริม แต่งเรื่อง ที่ เกิดขึ้น จึง เชื่อ ว่า ได้ ให้การ ตาม ความ เป็น จริงไม่ เห็น จำเลย ยิง ผู้ตาย ดัง เบิกความ คง เห็นแต่ จำเลย หัน ปากกระบอกปืน ไป ยัง ผู้ตาย และ นาย ภิญโญ ชูจร แล้ว กระสุนปืน ถูกผู้ตาย ถึง แก่ ความตาย เด็กหญิง รัญธนา ถนอมพันธุ์ คง เห็น เหตุการณ์ทำนอง เดียวกัน จึง เข้าใจ ว่า จำเลย ยิง ผู้ตาย ใน รายงาน เหตุ คดีอุกฉกรรจ์ ต่อ ผู้ว่าราชการ จังหวัด นครศรีธรรมราช ซึ่ง กระทำ ในคืน เดียวกัน ก็ มี ข้อความ ว่า จำเลย เอา อาวุธปืน ออกมา ขู่ มิให้ผู้ตาย และ นาย ภิญโญ ชูจร ยิงกัน แล้ว ปืน ดัง 1 นัด กระสุนปืน ถูกผู้ตาย ถึง แก่ ความตาย ศาลฎีกา เห็นว่า เป็น เรื่อง จำเลย และ อาวุธปืนออก มา ขู่ ผู้ตาย และ นาย ภิญโญ ชูจร ใน ขณะ ที่ ตนเอง เมา สุราขาด ความ ระมัด ระวัง ทำ ปืน ลั่น โดย ประมาท กระสุนปืน ไป ถูก ผู้ตายถึง แก่ ความตาย จำเลย หา ได้ มี เจตนา ฆ่า ผู้ตาย ไม่ และ คง เป็นเพราะ เหตุนี้ เอง หลัง เกิดเหตุ จำเลย จึง ได้ เข้า ไป กอด โจทก์ร่วมแสดง ความ เสียใจ บอก ว่า จำเลย ได้ ยิง นาย วิรัตน์ ตาย เสีย แล้วนาย เจียม พูด ว่า คนตาย ก็ ตาย ไป เอา คน เป็น ไว้ ก่อน เจ้าพนักงานเรือนจำ ซึ่ง อยู่ใน ที่ เกิดเหตุ และ เห็น เหตุการณ์ โดย ตลอด ให้การว่า ไม่ เห็น ว่า ใคร ยิง ผู้ตาย หรือ ทำ ให้ ผู้ตาย ตาย เป็น การช่วยเหลือ จำเลย ซึ่ง ถ้า จำเลย เจตนา ฆ่า ผู้ตาย จำเลย คง ไม่ แสดงกริยา และ พูดจา กับ โจทก์ร่วม ดังกล่าว เจ้าพนักงาน เรือนจำ ที่เห็น เหตุการณ์ คง ไม่ ช่วยเหลือ ปกปิด การ กระทำ ผิด อย่าง ร้ายแรงของ จำเลย
ที่ จำเลย ฎีกา ว่า จำเลย กระทำ ไป เพื่อ ป้องกัน โดย ชอบ ด้วย กฎหมายเห็นว่า การ กระทำ ซึ่ง จะ เป็น การ ป้องกัน โดยชอบ ด้วย กฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ต้อง เป็น การ กระทำ โดย เจตนา เมื่อข้อเท็จจริง ฟัง ได้ ว่า จำเลย เอา อาวุธปืน ออก มา ขู่ ผู้ตาย และทำ ปืนลั่น โดย ประมาท ถูก ผู้ตาย ถึง แก่ ความตาย ไม่ ใช่ กระทำ โดยเจตนา การ กระทำ ของ จำเลย จึง มิใช่ เป็น การ ป้องกัน โดยชอบ ด้วยกฎหมาย ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68
พิพากษาแก้ เป็น ว่า จำเลย มี ความผิด ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา291 ให้ จำคุก 8 ปี

Share