แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างดำเนินงานเกี่ยวกับการชำระบัญชี จำเลยรับว่าได้ทำสัญญาจ้างโจทก์กำหนดอัตราค่าจ้างไว้จริง ไม่ได้ยกข้อต่อสู้อื่นอีกแต่ประการใด เช่นนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยชำระเงินค่าจ้างนี้ได้เลยโดยไม่ต้องสืบพยานหรือวินิจฉัยประการใดอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกค่าจ้างในการดำเนินคดีในศาลและงานเกี่ยวกับการชำระบัญชีที่กองหมายตามสัญญาจ้างลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๕ เป็น ๔ จำนวน คือ(๑) ค่าจ้างดำเนินคดีตามสัญญา ข้อ ๑ เงิน ๑๐,๐๐๐ บาท (๒) ค่าจ้างดำเนินงานการชำระบัญชีที่กองหมาย ตามสัญญา ข้อ ๒ (ก) ๑๐,๐๐๐ บาท (๓) ค่าจ้างในการโต้แย้งเอาสิทธิในประทานบัตร ๑๖ แปลงให้หลุดพ้นจากการชำระบัญชีกองหมาย ๒๐๐,๐๐๐ บาท (๔) ค่าจ้างดำเนินคดีตามสัญญาข้อ ๒ (ค) ๑๐,๐๐๐ บาท
จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาลงวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๙๕ จริง และรับรองเรื่องค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๑ ข้อ ๒ (ก) และ ข้อ ๒ (ค) คงโต้แย้งเรื่องค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๒ (ข) ประการเดียวว่า โจทก์ไม่ได้ปฏิบัติให้ครบถ้วนตามสัญญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ๑๘๐,๐๐๐ บาท
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๒ (ก) และ (ข) เท่านั้น
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๒ (ก) นั้น จำเลยรับว่าได้จ้างโจทก์จริง และมิได้ยกข้อต่อสู้ไว้เลย ประกอบกับการที่จำเลยไปทำสัญญาประนีประนอมกับหุ้นส่วนอื่นเสีย จึงทำให้ไม่ต้องชำระบัญชีต่อไป ไม่ใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์จึงควรได้รับค่าจ้างตามสัญญา ส่วนค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๒ (ข) เห็นพ้องตามศาลชั้นต้น จึงพิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เฉพาะฎีกาเรื่องค่าจ้าง ๑๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาข้อ ๒ (ก) นั้น จำเลยให้การรับรองสัญญาแล้ว และมิได้ยกข้อต่อสู้ประการใดเลย ศาลย่อมพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวนนี้ได้โดยไม่ต้องสืบพยานหรือวินิจฉัยประการใดอีกศาลชั้นต้นไม่ควรวินิจฉัยในความข้อนี้ ในชั้นฎีกาจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยปัญหาข้อนี้อีกส่วนฎีกาเรื่องค่าจ้างตามสัญญาข้อ ๒ (ข) นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่าโจทก์ได้ใช้ความพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้เป็นผลสำเร็จตามที่จ้างไว้ แม้การปฏิบัติงานในหน้าที่ของโจทก์จะยังไม่บรรลุผลสำเร็จเรียบร้อย หากจำเลยเข้าช่วยจึงสำเร็จก็ดีโจทก์ก็ยังควรได้รับค่าจ้างบ้างตามสมควรแก่ผลงานที่ได้ปฏิบัติมา และที่ศาลกำหนดค่าจ้างให้โจทก์ ๑๕๐,๐๐๐ บาทนั้น นับว่าเป็นผลดีแก่จำเลยอยู่แล้ว ศาลฎีกาพิพากษายืน