คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1258/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยกรอกวันที่ย้ายเข้าลงในทะเบียนบ้านอันเป็นเท็จ เป็นการกระทำเพื่อให้ผู้อื่นมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ เมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลนำทะเบียนบ้านฉบับเจ้าของบ้านที่จำเลยกระทำดังกล่าวไปใช้สมัครรับเลือกตั้งจนได้รับการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ขาดคุณสมบัติ ถือได้ว่าจำเลยช่วยส่งเสริมให้การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นซึ่งเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยของประเทศเป็นไปโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม อันเป็นการบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งเจ้าหน้าที่ล่ามประจำอำเภอปะนาเระ มีหน้าที่ด้านทะเบียนราษฎร์เกี่ยวกับการแจ้งย้ายเข้าและย้ายออกของประชาชน ซึ่งตามวันเวลาดังกล่าวนายอิสมาแอ แวสาเต๊ะ ยื่นหลักฐานขอย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านเลขที่ 115 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าน้ำ อำเภอปะนาเระ จังหวัดปัตตานี จำเลยกรอกข้อความลงในทะเบียนบ้านฉบับอำเภอและฉบับเจ้าของบ้านไม่ตรงกัน กล่าวคือ จำเลยกรอกวันที่ย้ายเข้าลงในทะเบียนบ้านฉบับอำเภอเป็นวันที่ 6 มกราคม 2540 และกรอกวันที่ย้ายเข้าลงในทะเบียนบ้านฉบับเจ้าของบ้านเป็นวันที่ 6 สิงหาคม 2539 ซึ่งความจริงแล้วจำเลยมีหน้าที่ต้องกรอกวันที่ย้ายเข้าให้ถูกต้องตรงกันในทะเบียนบ้านทั้งสองฉบับเป็นวันที่ 31 มกราคม 2540 อันเป็นการกระทำเพื่อให้ผู้อื่นมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ และเป็นการช่วยเหลือนายอิสมาแอให้มีภูมิลำเนาและมีชื่อในทะเบียนบ้านอยู่ในบ้านเลขที่ 115 ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน นับถึงวันสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ และนายอิสมาแอได้นำทะเบียนบ้านนั้นไปใช้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำจะได้รับการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ขาดคุณสมบัติอันเป็นการปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่อำเภอปะนาเระ ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลท่าน้ำ และผู้หนึ่งผู้ใด ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ 91
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534 มาตรา 50 (ที่ถูก มาตรา 50 วรรคหนึ่ง) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานกระทำการเพื่อให้ผู้อื่นมีรายการอย่างใดอย่างหนึ่งในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ จำคุก 1 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต จำคุก 4 ปี รวมจำคุก 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโดยให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือน
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยขาดเจตนาในการกระทำความผิดเพราะเชื่อโดยสุจริตว่าการลงวันที่ในทะเบียนบ้านไม่ถูกต้องหัวหน้าฝ่ายทะเบียนราษฎรคงไม่อนุมัติ เป็นทำนองว่าจำเลยมิได้กระทำความผิดตามฟ้องนั้น เห็นว่า ชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยขอถอนคำให้การเดิมที่ปฏิเสธเป็นให้การรับสารภาพตามฟ้อง ข้ออ้างของจำเลยเป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่จำเลยให้การรับสารภาพแล้ว และเป็นการยกข้อเท็จจริงใหม่ขึ้นมากล่าวอ้างในชั้นฎีกาที่ขัดกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยจึงเป็นปัญหาที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ของศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีคงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยกรอกวันที่ย้ายเข้าลงในทะเบียนบ้านอันเป็นเท็จนั้น เป็นการกระทำเพื่อให้ผู้อื่นมีรายการอย่างหนึ่งอย่างใดในทะเบียนบ้านโดยมิชอบ เมื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลนำทะเบียนบ้านฉบับเจ้าของบ้านที่จำเลยกระทำดังกล่าวไปใช้สมัครรับเลือกตั้งจนได้รับการเลือกตั้งทั้งๆ ที่ขาดคุณสมบัติ ถือได้ว่าจำเลยช่วยส่งเสริมให้การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นซึ่งเป็นรากฐานของระบอบประชาธิปไตยของประเทศเป็นไปโดยไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมอันเป็นการบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย พฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นเรื่องที่ร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share