คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ประจำทางโดยประมาทฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจร เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์อีกคันหนึ่งมีคนบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสหลายคน ศาลแขวงลงโทษจำเลยในความผิดฐานฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจราจร ให้ยกฟ้องในข้อหาฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัส โจทก์อุทธรณ์ในข้อกฎหมายว่าจำเลยมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทด้วย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานทำให้คนบาดเจ็บสาหัสโดยประมาทด้วย เช่นนี้จำเลยฎีกาได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 เพราะในข้อหาฐานทำให้คนบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสโดยประมาทนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยขับรถผ่านสี่แยกด้วยความเร็วเกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รถอีกคันหนึ่งขับล้ำเข้าไปในสี่แยกโดยฝ่าฝืนเครื่องหมายหยุด การที่จำเลยขับรถผ่านสี่แยกด้วยความเร็วเกินกำหนดและไม่ชลอให้ช้าลงบ้าง เป็นเหตุให้รถชนกัน ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยได้กระทำการโดยประมาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ประจำทางด้วยความเร็วเกินกว่า 35 กิโลเมตรต่อชั่วโมงในเขตเทศบาล เมื่อขับผ่านสี่แยกจำเลยได้ขับด้วยความประมาท โดยขับด้วยความเร็วเกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นเหตุให้ชนกับรถยนต์อีกคันหนึ่ง มีคนบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสหลายคน
จำเลยให้การปฏิเสธ
พระภิกษุผล แย้มผการ้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในฐานะเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่ง ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นเห็นว่าการที่รถทั้งสองชนกันนี้เป็นเพราะความประมาทของผู้ขับรถอีกคันหนึ่ง จำเลยไม่ได้ประมาทในการนี้แต่จเลยขับรถผ่านทางแยกด้วยความเร็วเกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจร ให้ปรับ 100 บาท ข้อหานอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ร่วมอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยควรมีความผิดฐานประมาทด้วย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า นอกจากบทกฎหมายที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยแล้ว จำเลยยังมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 ด้วย ให้จำคุก 1 ปี
จำเลยฎีกาว่า ไม่ควรมีความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามที่ทนายโจทก์ร่วมแก้ฎีกาว่า จำเลยฎีกาไม่ได้ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 220 นั้น กรณีนี้แท้จริงในเรื่องฐานทำให้คนบาดเจ็บสาหัสโดยประมาทนั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นอย่างตรงข้าม แม้โดยโวหารจะเรียกว่าพิพากษาแก้ก็ตาม จำเลยย่อมฎีกาได้
ข้อเท็จจริงเป็นยุติตามที่ศาลแขวงฟังว่าจำเลยขับรถประจำทางสายห้วยขวางกระทรวงเศรษฐการไปตามถนนสุโขทัย โฉมหน้าไปทางอำเภอดุสิต ส่วนรถเก๋งร้อยโทวศิน สุทธา มาตามถนนพิชัยจะไปทางสะพานเทพหัสดิน พอรถทั้งสองคันแล่นมาถึงสี่แยกถนนสุโขทัยตัดกับถนนพิชัย รถทั้งสองคันก็ชนกันโดยแรง แล้วเกี่ยวเกาะติดกันและครูดไปตามพื้นถนนประมาณ 10 เมตร จึงหยุดได้ เมื่อรถประจำทางไปชนต้นไม้ข้างทาง เป็นเหตุให้ร้อยโทวศินได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนจำเลยและผู้โดยสารรถคันที่จำเลยขับได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สาหัส 19 คน รวมทั้งพระภิกษุผลโจทก์ร่วมด้วย ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส การที่รถยนต์ทั้งสองคันชนกันนี้เพราะรถร้อยโทวศินล้ำเข้ามาในสี่แยกโดยฝ่าฝืนเครื่องหมายหยุดที่ติดตั้งไว้ ส่วนจำเลยขับรถประจำทางผ่านสี่แยกนั้นด้วยความเร็วเกินกว่า 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เกินกว่าอัตราอนุญาตตามกฏกระทรวงออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2477 ซึ่งให้ขับผ่านทางแยกได้ไม่เกิน 20 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ข้อเท็จจริงดังได้ความมานี้ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้รถเก๋งร้อยโทวศินจะประมาทฝ่าฝืนเครื่องหมายตรงทางแยกในขณะที่จำเลยกำลังขับรถตัดทางแยกนั้นไปก็ดี แต่จุดที่ชนกันอยู่ห่างศูนย์กลางทางร่วมไปทางอำเภอดุสิต .90 เมตร แสดงว่าถ้ารถที่จำเลยขับแล่นผ่านสี่แยกนั้นไปโดยอัตราความเร็วไม่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ก็คงจะไม่เกิดชนอย่างแรงขนาดนั้น แต่โดยที่จำเลยขับรถประจำทางด้วยอัตราความเร็วเกินกว่ากำหนดตะบึงไป โดยไม่ชลอให้ช้าลงบ้าง ความเร็วนั้นจึงเร่งจังหวะรถให้เข้าไปปะทะกับรถเก๋งเข้า ดังนี้ ย่อมได้ชื่อว่าจำเลยได้กระทำการโดยประมาท กล่าวคือ ไม่ได้ใช้ความระมัดระวัง ซึ่งบุคคลในภาวะเช่นจำเลยจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์ และจำเลยอาจใช้ความระมัดระวังเช่นว่านั้นได้ แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ ฉะนั้น ที่าลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมีความผิดฐานทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บและบาดเจ็บสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300, 390 ด้วยนั้น ชอบแล้วฎีกาจำเลยไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลง จึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share