แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาทุกประเภท จะเป็นสัญญาในเรื่องใด ๆ ก็ตาม ที่สามีภริยาได้ทำต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยาแม้จะไม่เกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา สามีย่อมบอกล้างสัญญานั้นเสียในเวลาใด ๆ ก็ได้ ระหว่างที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ ไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องบอกล้างก่อนถูกภริยาฟ้อง
การที่สามียื่นคำร้องต่อศาลขอบอกล้างสัญญาดังกล่าวที่ภริยานำมาฟ้อง ในคำร้องขอให้ศาลส่งสำเนาคำร้องให้ภริยาด้วย และภริยาได้รับสำเนาคำร้องแล้วเท่ากับภริยาได้รับคำบอกล้างสัญญาจากสามีโดยตรง การบอกล้างจึงชอบด้วยกฎหมาย และย่อมมีผลให้สัญญาสิ้นความผูกพันเสมือนหนึ่งสามีภริยาไม่เคยทำสัญญาไว้ต่อกันเลย จึงไม่มีทางจะบังคับให้สามีปฏิบัติตามสัญญาในช่วงระยะเวลาก่อนบอกล้างได้อีก
อำนาจฟ้องคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 24/2509)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากัน มีบุตร ๒ คน จำเลยผิดสัญญาไม่ยอมให้ค่าเลี้ยงดู ขอให้ศาลบังคับ
จำเลยให้การว่า จำเลยได้ส่งเงินให้โจทก์ทุกเดือน คงค้างแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๐๕ มาเท่านั้น ขอชำระให้เดือนละ ๓๐๐ บาท
ศาลกะประเด็นให้จำเลยนำสืบก่อนต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า โจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาขณะเป็นสามีภริยากัน จำเลยขอบอกล้างสัญญา ถือว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยชำระเงินค่าเลี้ยงดูบุตรแก่โจทก์
จำเลยฎีกา
คดีมีปัญหาว่า จำเลยจะบอกล้างสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๔๖๑ ได้หรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า คำว่า”สัญญาใด” ตามมาตรา ๑๔๖๑ นี้ หมายถึงสัญญาทุกประเภทที่สามีภริยาได้ทำต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน เพราะมิได้มีบทบัญญัติระบุไว้โดยเฉพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาเท่านั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นสัญญาที่โจทก์จำเลยทำต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน จะเป็นสัญญาในเรื่องใดก็ตาม เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ จำเลยย่อมใช้สิทธิบอกล้างสัญญานี้ได้
ปัญหาต่อไปมีว่า การบอกล้างไม่ได้บอกล้างต่อโจทก์โดยตรง จะมีผลหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า การบอกล้างสัญญาตามมาตรา ๑๔๖๑ นี้ สามีหรือภริยาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดก็ได้ ระหว่างที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ ทั้งไม่มีกฎหมายบังคับว่าจะต้องบอกล้างก่อนถูกอีกฝ่ายหนึ่งฟ้อง การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลขอบอกล้างสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องก็เพราะโจทก์ได้นำคดีมาสู่ศาลแล้ว ในคำร้องของจำเลยก็ขอให้ศาลส่งสำเนาคำร้องให้โจทก์ และโจทก์ก็ได้รับสำเนาคำร้องของจำเลยแล้ว ผลก็เท่ากับโจทก์ได้รับคำบอกล้างสัญญาจากจำเลยโดยตรง การบอกล้างของจำเลยจึงชอบด้วยกฎหมาย และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า แม้จะสมมุติว่าจำเลยบอกล้างได้ การบอกล้างจะมีผลตั้งแต่วันที่จำเลยบอกล้างเป็นต้นไป หากระทำให้ข้อตกลงที่มีอยู่ในสัญญาก่อนบอกล้างหมดความผูกพันไปแต่อย่างใดไม่ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะการบอกล้างสัญญาย่อมมีผลให้สัญญาที่ทำไว้ต่อกันสิ้นความผูกพัน เสมือนหนึ่งโจทก์จำเลยไม่เคยทำสัญญาไว้ต่อกันเลย จึงไม่มีทางจะบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาในช่วงระยะเวลาก่อนบอกล้างได้อีก
ปัญหาต่อไปศาลฎีกาเห็นว่า แม้ในชั้นต้นประเด็นมีเพียงประเด็นเดียวว่า จำเลยค้างชำระเงินตามสัญญาหรือไม่ก็ดี แต่เมื่อจำเลยยื่นคำร้องขอบอกล้างสัญญา ก็ทำให้เกิดประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ขึ้นมาว่า เมื่อสัญญาที่โจทก์นำมาฟ้องถูกบอกล้างเสียแล้ว โจทก์จะมีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีต่อไปหรือไม่ ศาลฎีกาเห็นว่า อำนาจฟ้องคดีเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น