คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12447/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งกำหนดว่าระหว่างคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 447/2556 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่างมีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดและคำพิพากษาขัดกัน เพราะต่างบังคับให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้และเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงเดียวกันให้ทั้งแก่โจทก์ในคดีนี้และให้แก่ ภ. โจทก์ในคดีดังกล่าว ว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาใด ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่าให้ถือตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 447/2556 ของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 146 วรรคสอง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1915 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คดีถึงที่สุด
โจทก์ยื่นคำร้องว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1915 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา แต่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 หมายเลขแดงที่ 447/2556 ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 1915 ตำบลบางปลากด อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เฉพาะส่วนของจำเลยที่ 1 ให้แก่นางสาวภัสสร โจทก์ในคดีดังกล่าวด้วยและคดีถึงที่สุดหลังคดีนี้ จึงขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งกำหนดว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาใด
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่า ให้ถือเอาคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 447/2556 ของศาลชั้นต้น ที่จำเลยต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามคำพิพากษา ส่วนโจทก์ในคดีนี้ หากได้รับความเสียหายอย่างไรเป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากล่าวกับจำเลยต่อไป
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งอันเป็นที่สุดของศาลชั้นต้นสองศาลในลำดับชั้นเดียวกันหรือศาลอุทธรณ์ ต่างกล่าวถึงการปฏิบัติชำระหนี้อันแบ่งแยกกันไม่ได้และคำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นขัดกัน คู่ความในกระบวนพิจารณาแห่งคดีที่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลที่อยู่ในลำดับสูงขึ้นไปให้มีคำสั่งกำหนดว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาหรือคำสั่งใดได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 146 วรรคสอง แต่บทบัญญัติดังกล่าวได้บัญญัติไว้ในตอนท้ายว่า คำสั่งเช่นว่านี้ให้เป็นที่สุด เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งกำหนดว่า ระหว่างคดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 447/2556 ของศาลชั้นต้น ซึ่งต่างมีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดและคำพิพากษาขัดกัน เพราะต่างบังคับให้จำเลยที่ 1 ในคดีนี้และเป็นจำเลยในคดีดังกล่าวโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงเดียวกัน ทั้งให้แก่โจทก์ในคดีนี้และให้แก่นางสาวภัสสรโจทก์ในคดีดังกล่าว ว่าจะให้ถือตามคำพิพากษาใดและศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งว่า ให้ถือตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 142/2556 คดีหมายเลขแดงที่ 447/2556 ของศาลชั้นต้น คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมเป็นที่สุดตามบทบัญญัติข้างต้น โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะฎีกาอ้างว่า คำพิพากษาในคดีของโจทก์ถึงที่สุดก่อน โจทก์จึงอยู่ในฐานะอันจะให้จดทะเบียนสิทธิของตนได้อยู่ก่อน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 มาเป็นข้อโต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 กับอ้างว่า คำสั่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยังไม่เป็นที่สุดได้ ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่โจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกานอกจากที่สั่งคืนให้เป็นพับ

Share