คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 124/2547

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ข้อเท็จจริงตามรายงานการสืบเสาะและพินิจซึ่งจำเลยทั้งสองไม่คัดค้าน ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและซ่องโจร และจำเลยที่ 2 เคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ในความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดคดีนี้อีก โดยได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงให้บวกโทษคดีดังกล่าวเข้ากับโทษในคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 58

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีไปร่วมกันชกต่อย ใช้ขวดสุราและท่อนไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายนายอนุลักษณ์ สอนสุภาพ ผู้เสียหาย ถูกที่บริเวณแขนซ้ายจนแขนซ้ายหัก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส ต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่า 20 วัน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 295, 297
จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 (8) ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 1 ปี
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลยทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายจนแขนซ้ายหัก ได้รับอันตรายสาหัสนับว่าเป็นเรื่องร้ายแรง นอกจากนี้ตามรายงานการสืบเสาะและพินิจซึ่งจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านระบุว่า จำเลยทั้งสองได้ก่อเหตุทำร้ายผู้อื่นหลายครั้ง พฤติการณ์เป็นอันธพาลเป็นที่เอือมระอาของเพื่อนบ้าน ศาลชั้นต้นได้เคยให้โอกาสแก่จำเลยทั้งสองโดยรอการลงโทษจำคุกให้ แต่จำเลยทั้งสองก็หาสำนึกไม่ ยังคงกระทำความผิดเช่นเดิมอีก พฤติการณ์แห่งคดีจึงไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยทั้งสอง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาจำคุกจำเลยโดยไม่รอการลงโทษให้จึงเหมาะสมแก่รูปคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ปรากฏตามรายการสืบเสาะและพินิจซึ่งจำเลยทั้งสองไม่คัดค้านฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 เคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2545 พิพากษาจำคุก 12 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ในความผิดฐานร่วมกันบุกรุกเคหสถานของผู้อื่นในเวลากลางคืนโดยใช้กำลังประทุษร้ายร่วมกันทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและซ่องโจรตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1161/2545 ของศาลชั้นต้น และจำเลยที่ 2 เคยต้องคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2545 พิพากษาจำคุก 12 เดือน ปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 2 ปี ในความผิดฐานทำร้ายร่างกายตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1333/2545 ของศาลชั้นต้น ภายในเวลาที่ศาลรอการลงโทษในคดีดังกล่าว จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดคดีนี้อีก อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ จึงให้บวกโทษคดีดังกล่าวเข้ากับโทษในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บวกโทษจำคุก 12 เดือน ที่ศาลชั้นต้นรอการลงโทษให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1161/2545 และคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1333/2545 ของศาลชั้นต้นตามลำดับเข้ากับโทษในคดีนี้เป็นจำคุกคนละ 1 ปี 12 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4

Share