คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่ง และเมื่อได้พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
การที่จำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางไปพยายามปล้นทรัพย์แต่ก็เป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยกับพวกหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ มีกระสุนปืนลูกซอง ๑ นัด จำเลยที่ ๒ มีอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีหมายเลขทะเบียนของเจ้าพนักงาน ๑ กระบอก กับกระสุนปืนลูกซอง ๒ นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำเลยที่ ๒ ได้พาอาวุธปืนดังกล่าวไปในทางสาธารณะและได้ร่วมกันลักรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหาย… โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้รถจัรกยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อกระทำผิด…เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้พร้อมด้วยอาวุธปืนลูกซองสั้น ๑ กระบอก กระสุนปืนลูกซอง ๒ นัด ปลอกกระสุนปืนลูกซอง ๑ ปลอก รถจักรยานยนต์ ๑ คัน เป็นของกลาง ต่อมาจับจำเลยที่ ๓ ได้ ขอให้ลงโทาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐, ๓๔๐ ตรี, ๒๘๘, ๒๘๙, ๑๓๘, ๑๔๐, ๓๒, ๓๓, ๘๐, ๘๓ ฯลฯ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิ ฯลฯ ริบของกลาง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ วรรคสอง คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ ข้อ ๖ ฐานมีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๖ เดือนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘ วรรคสองคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๑ ข้อ ๔ ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุก ๓ เดือนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี, ๘๐ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔, ๑๕ ฐานพยายามปล้นทรัพย์โดยคนหนึ่งคนใดมีอาวุธและใช้ยานพาหนะเพื่อกระทำผิด จำคุก ๑๒ ปีการกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๙๑ ที่แก้ไขแล้วรวมเป็นจำคุก ๑๒ ปี ๙ เดือน จำเลยที่ ๒มีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิดดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ทวิ,๗๒ วรรคแรก ๗๒ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ ๔๔ ข้อ ๓, ๖, ๗ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ๗) พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๕, ๗ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก ๒ ปี ฐานพาอาวุธปืนติดตัวไปโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย จำคุก ๑ ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๔๐ วรรคสาม ฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่ จำคุก ๓ ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๐ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี, ๔๐ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๑๔, ๑๕ ฐายพยายามปล้นทรัพย์โดยมีอาวุธปืนและใช้ยายพาหนะ จำคุก ๑๒ ปี รวมเป็นจำคุก ๑๘ ปี ชั้นจับกุมจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๘ ปี ๖ เดือนจำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๑๒ ปี ข้อหาอื่นเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ ให้ยก ของกลางริบ
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในข้อหาพยายามปล้นทรัพย์ คงจำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๖เดือน จำเลยที่ ๒ มีกำหนด ๔ ปี นอกจากทีแ่ก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและพกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมาย เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทศาลจะลงโทษได้เพียงบทที่มีโทษหนักที่สุดนั้นเห็นว่า การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตมีความผิดมาตั้งแต่เริ่มครอบครองเป็นกรรมหนึ่งและเมื่อได้พกพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยผิดกฎหมายก็เป็นความผิดอีกกรรมหนึ่ง จึงเป็นความผิดสองกรรมต่างกันศาลลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด ชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ ๒ฟังไม่ขึ้น และที่จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ฎีกาว่าเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานพยายามปล้นทรัพย์ รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ขอให้คนแก่เจ้าของนั้นเห็นว่า แม้ศาลฎีกาจะฟังว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ของกลางไปพยายามปล้นทรัพย์ แต่ก็เป็นเพียงยานพาหนะไปมาและพาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ กับพวกหลบหนีให้พ้นจากการจับกุมโดยสะดวกและรวดเร็วเท่านั้น รถจักรยานยนต์ของกลางจึงไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ในข้อนี้ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นยกเว้นไม่ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง.

Share