คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1233/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ย้ายภูมิลำเนาไปอยู่จังหวัดพระนครแล้วก่อนโจทก์ฟ้อง 8 วันก็ดี หากมีหลักฐานแสดงอยู่ว่าจำเลยยังคงมีบ้านและถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ดังเดิมด้วย ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่งคือ ทั้งที่เชียงใหม่และจังหวัดพระนครซึ่งโจทก์ย่อมถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยและยื่นฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงเชียงใหม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 ตกลงขายไก่พร้อมด้วยอุปกรณ์การเลี้ยงไก่ให้โจทก์ราคา 7,000 บาท รับเงินไปแล้ว 2,000 บาท ต่อมาจำเลยผิดสัญญา โจทก์จึงตกลงเลิกและขอเงินคืน จำเลยเพิกเฉยจึงขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยจึงริบเงินมัดจำ 2,000 บาทเสีย และตัดฟ้องว่า วันที่โจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยที่ 1 มิได้มีภูมิลำเนาอยู่บ้านช่วงสิงห์ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ แต่ได้ย้ายสำมะโนครัวออกไปตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2502 ไปอยู่บ้านเลขที่ 4/1 ซอยออมสินสถิตย์ ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร และจำเลยที่ 2 ก็ได้ย้ายออกไปถือภูมิลำเนาตามจำเลยที่ 1 สามีก่อนวันฟ้อง ฟ้องของโจทก์จึงขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(2) ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อตัดฟ้องของจำเลยฟังไม่ขึ้น และฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยรับเงิน 2,000 บาท เป็นการชำระหนี้บางส่วนโจทก์ไม่ผิดสัญญา และได้บอกเลิกสัญญาแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิยึดเงินของโจทก์ได้ พิพากษาให้คืน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมาย

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องเกี่ยวด้วยทรัพย์ตามมาตรา 4(1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพราะมูลกรณีพิพาทเกี่ยวด้วยทรัพย์ที่ซื้อขายกัน ศาลต้องพิจารณาถึงการซื้อขายทรัพย์นั้นก่อน จึงจะชี้ขาดเรื่องคืนเงิน ปรากฏว่าทรัพย์ที่ซื้อขายอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ชอบที่จะเสนอคำฟ้องต่อศาลจังหวัดเชียงใหม่อุทธรณ์จำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ใช่เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยทรัพย์ ต้องบังคับตามมาตรา 4(2) คือ ต้องฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะนั้น โจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงเชียงใหม่โดยมิได้ยื่นคำขอเป็นคำร้องให้ศาลใช้ดุลพินิจอนุญาตตามกฎหมายโจทก์ฟ้องผิดเขตอำนาจศาล ขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ชำระให้จำเลยไปตามสัญญาซื้อขายคืนมิใช่เป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยทรัพย์หรือสิทธิหรือประโยชน์ใด ๆ อันเกี่ยวกับทรัพย์ที่ซื้อขายกันนั้นแต่อย่างใดกรณีไม่เข้าตามบทบัญญัติมาตรา 4(1) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่เป็นคำฟ้องที่ต้องบังคับตามมาตรา 4(2) ฎีกาจำเลยฟังขึ้นแต่ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องวันที่ 1 มิถุนายน 2502 โดยระบุในฟ้องว่า จำเลยทั้งสองอยู่บ้านเลขที่ 8 ถนนโชตนาข้างวัดช่วงสิงห์ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ตามรายงานของเจ้าหน้าที่ ลงวันที่ 2 มิถุนายน ว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาฟ้องไปส่งแก่จำเลยทั้งสอง ณ ตำบลที่อยู่ที่กล่าวในฟ้อง ไม่พบจำเลยสอบถามนายดีคนรับจ้างในบ้านจำเลยได้ความว่า จำเลยไปธุระชั่วคราวที่กรุงเทพฯ ไม่มีใครยอมรับหมายไว้แทนจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งอีกครั้ง ถ้าส่งไม่ได้ให้ปิดหมาย เจ้าหน้าที่ไปไม่พบจำเลย สอบถามลูกจ้างในบ้านจำเลยได้ความว่า จำเลยไปธุระที่กรุงเทพฯ 10 กว่าวันแล้ว ไม่ทราบเวลากลับ ไม่ยอมรับหมายแทน เจ้าหน้าที่จึงปิดหมายไว้ (ตามรายงานเจ้าหน้าที่วันที่ 8 มิถุนายน) ต่อมาวันที่ 22 มิถุนายน จำเลยทั้งสองยื่นคำให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องทั้งนี้ ย่อมแสดงว่าจำเลยทั้งสองยังคงมีถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ณ ตำบลที่อยู่ที่โจทก์ระบุไว้ในฟ้องนั่นเอง แม้จำเลยจะได้อ้างสำเนาใบแจ้งการย้ายออกเพื่อแสดงว่า จำเลยได้ป้ายจากจังหวัดเชียงใหม่ไปอยู่ที่บ้านเลขที่ 4/1 ถนนพหลโยธิน ตำบลลาดยาว อำเภอบางเขน จังหวัดพระนคร ก็ปรากฏว่าเพิ่งไปแจ้งการย้ายเมื่อเมื่อ 23 พฤษภาคม 2502 เป็นเวลาก่อนโจทก์ฟ้องเพียง 8 วันเท่านั้น ปรากฏตามคำแถลงของโจทก์ลงวันที่ 4 มิถุนายน 2502 ว่า ขณะยื่นฟ้องนั้นโจทก์มิได้ทราบเลยว่าจำเลยไปมีที่อยู่ในจังหวัดพระนคร ประกอบกับรายงานเจ้าหน้าที่ทั้งสองฉบับดังกล่าวก็แสดงอยู่ว่า ขณะนั้นจำเลยยังมีบ้านและถิ่นที่อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ดังเดิม เช่นนี้ย่อมถือได้ว่าขณะนั้นจำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง คือ ทั้งที่เชียงใหม่และจังหวัดพระนคร ซึ่งโจทก์ย่อมถือเอาแห่งใดแห่งหนึ่งว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยได้ตามมาตรา 45 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉะนั้น โจทก์ย่อมยื่นฟ้องจำเลยทั้งสองที่ศาลแขวงเชียงใหม่ได้ตามมาตรา 4(2) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

Share