คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 369/2485

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การกระทำที่เป็นการป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ. ราษฎรมีอำนาจไล่ตามจับผู้ร้ายลักกระบือซึ่งหนีไปต่อหน้าและยิงต่อสู้ผู้ร้ายซึ่งยิงมายังตนในขณะไล่จับได้.

ย่อยาว

ได้ความว่าผู้ตายกับพวกมีปืนและตะบองเป็นผู้ร้ายมาไล่ต้อนกระบือของจำเลยที่ ๑ ไปจำเลยทั้งสามกับพวกได้พากันออกติดตามจำเลยมีปืนคนละกะบอก ตามทันผู้ตายกับพวกขณะกำลังพากระบือไป พวกผู้ตายคนหนึ่งมีปืนยาว อีก ๒ คนถือไม้ คนร้ายที่มีปืนได้ยิงมาก่อน ๑ นัด แล้วทิ้งกระบือพากันวิ่งหนีจำเลยทั้งสามได้ยิงตอบไปถูกคนคนหนึ่งคือนายลีล้มลงนอนตายอยู่ จำเลยวิ่งไล่กวดคนร้ายอีกสองคนต่อไป คนร้ายยิงมาอีก ๑ นัด จำเลยยิงพลางไล่ไปพลาง กะสุนปืนถูกคนร้ายอีกคนหนึ่ง คือนายยนตร์ล้มลงตาย จำเลยจึงหยุดไล่โดยเหนื่อย พวกจำเลยไม่บาดเจ็บและได้กระบือที่ผู้ร้ายลักไปคืน ศาลชั้นต้นเห็นว่าผู้ตายเป็นผู้ร้ายพาเอากระบือไป จำเลยได้ติดตามทรัพย์และใช้อาวุธปืนยิงโดยผู้ร้ายยิงมาก่อน ๑ นัด แล้วก็ทิ้งกระบือวิ่งหนีไป การป้องกันทรัพย์ของจำเลยเป็นอันหมดไปแล้ว กระบือคงอยู่ที่นั้นไม่ไปไหน แต่จำเลยกับพวกยังไล่ยิงตามไปอีก การกระทำของจำเลยจึงเป็นการเกินสมควรแก่เหตุ พิพากษาว่าจำเลยผิดตามกฏหมายอาญามาตรา ๒๔๙,๕๓,๕๙, จำคุก ๑ ปี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ยืนตาม
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าเป็นการป้องกันเกินสมควรแก่เหตุแต่ศาลอุทธรณ์ฟังว่าไม่เป็นการป้องกันอย่างไรเลย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยได้ เห็นว่าการกระทำของจำเลยในตอนต้นเรียกได้ว่าเป็นการป้องกันตัวและทรัพย์พอสมควรแก่เหตุ เพราะผู้ร้ายยิงมาก่อน ถือได้ว่าจำเลยตกอยู่ในที่อันตรายและเป็นการจวนตัว จำเป็นต้องป้องกันแล้ว
ส่วนในตอนที่ ๒ ที่ผู้ร้ายทิ้งกระบือวิ่งหนีไปแล้ว ทางพิจารณาได้ความชัดว่าจำเลยมิได้ไล่ยิงผู้ร้าย ต่อเมื่อผู้ร้ายกลับยิงต่อสู้มายังจำเลยอีก จำเลยจึงจำเป็นต้องยิงป้องกันตัวไปบ้าง แล้วไปถูกผู้ร้ายตายอีกคนหนึ่ง การกระทำในตอนนี้ถึงจะไม่เป็นการป้องกันทรัพย์ก็เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เพราะจำเลยไม่ได้ไล่ตามยิง ไล่ตามจับต่างหาก ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๗๙ จำเลยมีอำนาจจับกุมผู้กระทำผิดในกรณีเช่นนี้ได้ เมื่อไล่ตามจับผู้ร้ายกลับยิงมาอีก จำเลยก็ยิงป้องกันตัวได้ ไม่เรียกว่าเกินสมควรแก่เหตุ จึงพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ปล่อยจำเลยไป

Share