คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5362/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อาวุธปืนบังคับและใช้กำลังฉุดคร่าโจทก์ร่วมไปกับจำเลยแล้วใช้กำลังบังคับจะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมในเวลาต่อมา ซึ่งการกระทำตอนแรกเป็นความผิดฐานพาไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 284 วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำตอนหลังเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 278 แต่การกระทำทั้งสองตอนต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ ในวาระเดียวกัน และตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะกระทำชำเราโจทก์ร่วมเท่านั้น จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกโดยมีอาวุธปืนพก ๒ กระบอก พาเด็กหญิงผ่องศรี อินทรสอน อายุ ๑๔ ปีเศษกับนางสาวพิกุล เจริญสุวรรณอายุ ๑๗ ปี ไปเพื่อการอนาจาร โดยใช้กำลังประทุษร้ายและใช้อาวุธปืนขู่ กระทำอนาจารและพยายามข่มขืนกระทำชำเรา เหตุเกิดที่ตำบลชำแระ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืน ๒ กระบอกและกระสุนปืน ๑๔ นัด เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๘๐, ๒๗๘, ๒๘๔, ๘๓, ๓๓๙,๓๔๐ ตรี, ๓๗๑, ๙๑ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๒๕ มาตรา ๓, ๔, ๑๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๑๔ ข้อ ๑๔, ๑๕พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๖)พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๔ พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนวัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา๗, ๘, ๗๒, ๗๒ ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ ๔๔ลงวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๑๙ ข้อ ๓, ๖, ๗ ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณาเด็กหญิงผ่องศรี อินทรสอน และนางสาวพิกุลเจริญสุวรรณ ผู้เสียหายขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘, ๒๘๔, ๓๓๙ วรรคสอง, ๓๔๐ ตรี, ๓๗๑พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๘ ทวิ, ๗๒, ๗๒ ทวิเรียงกระทงลงโทษ ความผิดตามมาตรา ๒๗๘ จำคุก ๒ ปี ความผิดตามมาตรา ๒๘๔ จำคุก ๓ ปี ความผิดตามมาตรา ๓๓๙ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา ๓๔๐ ตรี จำคุก ๑๕ ปี ความผิดตามมาตรา ๓๗๑ กับความผิดฐานพาอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๐ จำคุก ๑ ปี ฐานมีอาวุธปืนจำคุก ๑ ปีรวมจำคุก ๒๒ ปี ของกลางริบ ข้อหาอื่นให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคหนึ่ง และผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๘ ทวิวรรคสอง มาตรา ๗๒ ทวิ วรรคสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า จำเลยใช้อาวุธปืนบังคับและใช้กำลังฉุดคร่าโจทก์ร่วมที่ ๑ ไปกับจำเลยก่อน แล้วใช้กำลังบังคับจะข่มขืนกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ ๑ ในเวลาต่อมา ซึ่งการกระทำตอนแรกเป็นความผิดฐานพาโจทก์ร่วมที่ ๑ ไปเพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๔ วรรคหนึ่ง ส่วนการกระทำตอนหลังเป็นความผิดฐานกระทำอนาจารโจทก์ร่วมที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๘ แต่การกระทำทั้งสองตอนดังกล่าวต่อเนื่องเชื่อมโยงอยู่ในวาระเดียวกัน ประกอบกับตามพฤติการณ์ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำไปโดยมีเจตนาจะกระทำชำเราโจทก์ร่วมที่ ๑ เท่านั้น ดังนี้ จึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ไม่ใช่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องวางโทษเฉพาะบทที่มีโทษหนักที่สุด คือมาตรา ๒๘๔ วรรคหนึ่ง เพียงกระทงเดียวแม้ความผิดทั้งสองฐานนี้จะต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา แต่ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นหลักกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานชิงทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๔ วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา๓๔๐ ตรี และไม่ลงโทษในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๘เมื่อหักโทษส่วนฐานความผิดดังกล่าวออกแล้ว คงจำคุกจำเลย ๕ ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.

Share