คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3008/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คพิพาทให้โจทก์เพื่อชำระค่าหน้าดินตามสัญญา เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาและไม่มีสิทธิระงับการจ่ายเงินตามเช็คพิพาทแม้ต่อมาโจทก์จะบอกเลิกสัญญาก็ตามจำเลยก็ยังคงต้องชำระเงินตามเช็คพิพาทต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็ค ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่าย โดยจำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อสลักหลังชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดโจทก์นำไปเรียกเก็บเงิน แต่เรียกเก็บเงินไม่ได้เนื่องจากจำเลยที่ 1 มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,502,986.66 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายเช็คพิพาทแก่โจทก์เพื่อตอบแทนในการที่โจทก์ให้จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินทำการก่อสร้างอาคารแต่โจทก์กลับบอกเลิกสัญญาและไม่ยอมให้จำเลยที่ 1 ก่อสร้างต่อไป อ้างว่าจำเลยที่ 1 จ้างบุคคลภายนอกถมดินไม่ถูกต้องตามสัญญา จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,400,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.16 เป็นเช็คค่าหน้าดิน จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งจ่าย จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อสลักหลังเมื่อเช็คพิพาทถึงกำหนด โจทก์นำไปเรียกเก็บเงินปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน โดยให้เหตุผลว่ามีคำสั่งให้ระงับการจ่ายปรากฏตามเอกสารหมาย จ.17 ในสัญญาเอกสารหมาย จ.1ตกลงให้จำเลยที่ 1 ถมที่ดินด้วยทราบหรือดิน แต่ต่อมาจำเลยทั้งสองขอแก้สัญญาเป็นถมด้วยดินลูกรัง ซึ่งโจทก์ก็ยินยอม ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.15 ต่อมาจำเลยทั้งสองถมที่ด้วยดินลูกรังและหินผุก้อนโต ๆ ซึ่งหินผุมีคุณสมบัติไม่มีเท่าลูกรังเพราะทำให้การตอกเสาเข็มยาก ระดับของพื้นดินไม่แน่น เมื่อทำการก่อสร้างจะเกิดโพรงภายใน เห็นว่า ตามโทรเลขเอกสารหมาย จ.6 ซึ่งจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญากับนายนาม มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ปรากฏว่าท่านไม่ได้ปฏิบัติตามสัญญา ท่านได้นำหินผุมาทำการถมที่ผสมกับดินลูกรังเพียงบางส่วน ข้าพเจ้าได้แจ้งให้ท่านทราบด้วยวาจาระหว่างที่เริ่มทำการถมหลายครั้งแล้ว และนายเลิศศักดิ์ ภู่ชนะกิจ ได้แจ้งให้ท่านทราบด้วยวาจาหลายครั้งแล้วเช่นกัน แต่ปรากฏว่าท่านก็ยังเพิกเฉยทำการถมด้วนหินผุและนำดินลูกรังมาทับหน้าไว้” ซึ่งข้อความดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 1ยอมรับว่านายนามได้นำหินผุมาถมที่ดินนอกจากนั้นตามเอกสารหมายจ.10 จำเลยทั้งสองก็รับว่านายนามบิดพริ้วไม่ทำตามข้อตกลงจึงเจือสมกับคำเบิกความของโจทก์ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นฝ่ายผิดสัญญาที่นำหินผุมาถมที่ดิน เช็คพิพาทเอกสารหมาย จ.16เป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกให้โจทก์เพื่อชำระค่าหน้าดินตามสัญญาเอกสารหมาย จ.1 (หรือล.1) ข้อ 7(2) และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน เพราะจำเลยที่ 1 สั่งให้ระงับการจ่ายเงินในวันที่ 29 เมษายน 2534 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.17 ต่อมาโจทก์ได้บอกเลิกสัญญากับจำเลยทั้งสองในวันที่ 24 พฤษภาคม 2534 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.7 ซึ่งจำเลยทั้งสองได้มีหนังสือตอบในวันที่30 พฤษภาคม 2534 ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.10 การที่จำเลยที่ 1มีคำสั่งให้ระงับการจ่ายเงินตามเช็คในระหว่างที่สัญญายังมีผลบังคับอยู่ก็ดี การที่จำเลยทั้งสองนำหินผุไปถมที่ดินก็ดีเป็นการผิดสัญญาเช็คพิพาทเป็นเช็คที่จำเลยที่ 1 ออกเพื่อชำระหนี้ค่าหน้าดินและถึงกำหนดก่อนที่โจทก์จะบอกเลิกสัญญา จำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิสั่งระงับการจ่ายและต้องชำระให้โจทก์ ส่วนจำเลยที่ 2เป็นผู้สลักหลังเช็คพิพาท จึงต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share