คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่งคำฟ้องของโจทก์จึง เป็นการเสนอข้อหา 2 ข้อหา และแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสีย ค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา โจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อและติดตั้งลิฟต์ กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ส่งมอบลิฟต์ และติดตั้งลิฟต์ ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับ เงินจากมหาวิทยาลัยในงานส่วนติดตั้งลิฟต์ แล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงิน ให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนต่อ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ยในที่สุดโจทก์ตกลงจ่ายค่าลิฟต์ ให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ ไม่จ่ายอีก เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัย ดังกล่าว เป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบ หาเป็น การละเมิดโจทก์ไม่ พยานจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไปนั้น จะเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว การที่ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่นฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานไม่ชอบ จึงไม่ เป็นสาระอันควรวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อลิฟต์และจ้างจำเลยที่ 1ติดตั้ง แล้วไม่ส่งมอบและติดตั้งตามกำหนด และจำเลยทั้งสองละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้พิพากษาบังคับจำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ไม่ได้ผิดสัญญาและละเมิดต่อโจทก์ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้องโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์ 3,845,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในปัญหาที่โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรื่องผิดสัญญาและละเมิดในคดีเดียวกัน โจทก์ควรเสียค่าขึ้นศาลสูงสุดไม่เกิน 200,000 บาทนั้น เห็นว่า ตามตาราง 1 เรื่องค่าขึ้นศาลท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 1(3) บัญญัติว่าคำฟ้องหมายความว่ากระบวนพิจารณาใด ๆ ที่โจทก์เสนอข้อหาต่อศาลดังนี้ การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่า คำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกัน คดีนี้ โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่งและฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นการเสนอข้อหาต่อศาล2 ข้อหา และแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาล 2 ข้อหาในปัญหาที่ว่า การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นการกลั่นแกล้งและละเมิดต่อโจทก์หรือไม่นั้นได้ความว่า โจทก์ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์โดยโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อลิฟต์จากจำเลยที่ 1 และว่าจ้างจำเลยที่ 1ติดตั้งลิฟต์ที่อาคารดังกล่าวจำเลยที่ 1 ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับเงินจากมหาวิทยาลัยในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนต่อมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ย ในที่สุดโจทก์ตกลงจ่ายค่าลิฟต์ให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ไม่จ่ายอีก เห็นว่าที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ดังกล่าวเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบ หาเป็นการละเมิดโจทก์ไม่ ส่วนปัญหาที่ว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยทั้งสองไม่ชอบนั้น เห็นว่า พยานจำเลยทั้งสองที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไปนั้น จะเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยทั้งสองอยู่แล้ว ดังนั้น การที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งงดสืบพยานจำเลยทั้งสองชอบหรือไม่ ก็ไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น ฎีกาข้อนี้ของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การวินิจฉัย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายืน.

Share