แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำให้การชั้นสอบสวนของ จ. และ ก. ที่ว่า จำเลยมอบเงินให้ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน 1,000 เม็ด แม้เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกัน แต่มิได้เป็นการปัดความรับผิดของผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยเพียงผู้เดียว ทั้งศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษ จ. และ ก. แล้ว คำซัดทอดจึงเป็นการแจ้งเรื่องราวที่ตนได้ประสบมาจากการกระทำของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลย จ. และ ก. รู้จักจำเลยมาก่อน ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ต่างเบิกความยืนยันการกระทำของจำเลยเช่นเดียวกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน โดย จ. เบิกความถึงคำให้การในชั้นสอบสวนของตนว่าไม่ได้ถูกบังคับขู่เข็ญ ส่วน ก. อายุไม่เกิน 18 ปี ให้การต่อหน้าพนักงานอัยการ นักจิตวิทยา และทนายความ ฉะนั้น คำซัดทอดของ จ. และ ก. จึงเป็นพยานที่น่าเชื่อถือในการพิสูจน์ความจริง ประกอบกับจำเลยไปยืมรถจักรยานยนต์จาก ล. มาให้ จ. ขับไปซื้อเมทแอมเฟตามีน จึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ใช้ให้ จ. ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน เมื่อ จ. และ ก. ไปซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยจึงเป็นผู้ก่อให้ จ. และ ก. ครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ประกอบ ป.อ. มาตรา 84 แต่ระหว่างทางที่จะนำเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลย จ. และ ก. ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อน จำเลยยังมิได้ร่วมกับ จ. และ ก. ครอบครองเมทแอมเฟตามีน จึงมิใช่ตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันตาม ป.อ. มาตรา 83 ดังที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้ จ. และ ก. กระทำความผิดไม่ได้ตาม ป.วิ.อ. 192 วรรคสอง แต่การกระทำความผิดของจำเลยถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 86 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 กรณีกักขังแทนค่าปรับให้กักขังจำเลยเป็นระยะเวลา 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของคู่ความ คำพิพากษาคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1950/2548 ของศาลชั้นต้นซึ่งถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 และคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 102/2548 ของศาลจังหวัดกำแพงเพชร แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวที่ไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2548 จำเลยขอยืมรถจักรยานยนต์จากนางสาวละมัยไปให้นายเจตนาดีใช้ ต่อมาตามวันเวลาเกิดเหตุนายเจตนาดีขับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมีนายไกรสรนั่งซ้อนท้ายไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากชาวเขาเผ่าม้งจำนวน 1,000 เม็ด น้ำหนัก 89.14 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 35.963 กรัม ในราคา 40,000 บาท แต่ระหว่างทางที่นายเจตนาดีและนายไกรสรเดินทางกลับถูกสิบตำรวจเอกวิชาญกับพวกเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรกิ่งอำเภอโกสัมพีนครจับกุมตัวพร้อมยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 1,000 เม็ด ดังกล่าวที่นายเจตนาดีและนายไกรสรมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเป็นของกลาง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายเจตนาดีและนายไกรสรตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า คำเบิกความในชั้นพิจารณาและคำให้การในชั้นสอบสวนของนายเจตนาดีและนายไกรสรแม้เป็นคำซัดทอดของผู้ร่วมกระทำความผิดด้วยกันแต่นายเจตนาดีและนายไกรสรต่างรู้จักจำเลยมาก่อนไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกัน ซึ่งนายเจตนาดีและนายไกรสรเบิกความยืนยันการกระทำของจำเลยเช่นเดียวกับที่เคยให้การไว้ในชั้นสอบสวน โดยนายเจตนาดีเบิกความถึงคำให้การในชั้นสอบสวนของตนว่า ให้การโดยไม่ได้บังคับขู่เข็ญ ส่วนนายไกรสรซึ่งมีอายุไม่เกิน 18 ปี ได้ให้การต่อหน้าพนักงานอัยการ นักจิตวิทยาและทนายความเช่นนี้ ฟังได้ว่า นายเจตนาดีและนายไกรสรให้การในชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ สำหรับคำเบิกความของนายเจตนาดีและนายไกรสรที่ว่านายเจตนาดีให้การว่า จำเลยให้เงินแก่นายเจตนาดีไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลาง เนื่องด้วยคิดว่าจำเลยเป็นสายลับแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจมาดักจับตนนั้น นายเจตนาดีก็ไม่ได้เบิกความว่า เมื่อตนเข้าใจเช่นนั้นจึงให้การด้วยข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้จำเลยได้รับโทษ เมื่อคำเบิกความและคำให้การของนายเจตนาดีมิได้เป็นการปัดความรับผิดของตนผู้ซัดทอดให้เป็นความผิดของจำเลยเพียงผู้เดียวทั้งศาลได้มีคำพิพากษาลงโทษนายเจตนาดีและนายไกรสรแล้ว คำซัดทอดของพยานโจทก์จึงเป็นการแจ้งเรื่องราวที่ตนได้ประสบมาจากการกระทำของตนยิ่งกว่าเป็นการปรักปรำจำเลย ทำให้เชื่อว่า นายเจตนาดีและนายไกรสรเบิกความและให้การในชั้นสอบสวนตามความสัตย์จริง ฉะนั้น คำซัดทอดของนายเจตนาดีและนายไกรสรจึงเป็นพยานที่น่าเชื่อถือในการพิสูจน์ความจริง ยิ่งไปกว่านั้นการที่จำเลยไปยืมรถจักรยานยนต์จากนางสาวละมัยมาให้นายเจตนาดีขับ จากนั้นนายเจตนาดีขับรถจักรยานยนต์ดังกล่าวไปซื้อเมทแอมเฟตามีนแทนที่จำเลยจะให้นายเจตนาดียืมรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับในวันเกิดเหตุ ทั้งที่ในวันนั้นจำเลยเบิกความว่า จำเลยและเพื่อนขับรถจักรยานยนต์ไปหานายเจตนาดีและนายไกรสรจึงเป็นพิรุธส่อแสดงว่าจำเลยยืมรถจักรยานยนต์จากนางสาวละมัยมาให้นายเจตนาดีเพื่อไปกระทำการที่ผิดกฎหมาย เมื่อนำการกระทำของจำเลยที่ยืมรถจักรยานยนต์ดังกล่าวมารับฟังประกอบคำซัดทอดของนายเจตนาดีและนายไกรสรแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ให้นายเจตนาดีไปซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 1,000 เม็ด ในราคา 40,000 บาท อย่างไรก็ตามการที่จำเลยมอบเงินจำนวน 40,000 บาท ให้นายเจตนาดีไปซื้อเมทแอมเฟตามีน จำเลยจึงเป็นผู้ก่อให้นายเจตนาดีและนายไกรสรครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 84 แต่ในระหว่างทางที่จะนำเมทแอมเฟตามีนมาให้จำเลย นายเจตนาดีและนายไกรสรได้ถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมเสียก่อนยังไม่ทันได้มอบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้จำเลย เช่นนี้จำเลยยังมิได้ร่วมกับนายเจตนาดีและนายไกรสรครอบครองเมทแอมเฟตามีนของกลาง จึงมิใช่เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ดังที่โจทก์ฟ้อง ซึ่งเป็นการแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญย่อมลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้ใช้ให้นายเจตนาดีและนายไกรสรกระทำความผิดไม่ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง แต่การกระทำความผิดของจำเลยดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการสนับสนุนการกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86, 53 จำคุก 33 ปี 4 เดือน และปรับ 666,666.66 บาท ในกรณีไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 3 ปี