คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1211/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ที่ 1 ส่งตั๋วแลกเงินจำนวน 40,000 บาทของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเบตงให้แก่โจทก์ที่ 2 โดยบรรจุตั๋วแลกเงินในซองจดหมายลงทะเบียนจ่าหน้าซองถึงโจทก์ที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานบุรุษไปรษณีย์ ได้รับมอบหมายให้นำไปรษณียภัณฑ์ดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้รับ แต่ในการส่งนั้นจำเลยที่ 2 ได้ทำหลักฐานใบรับปลอมขึ้นว่ามีบุคคลในบ้านเดียวกันกับโจทก์ที่ 2 รับแทน แล้วแอบอ้างตัวเองเป็นโจทก์ที่ 2 นำตั๋วแลกเงินไปรับเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ดังนี้ แม้พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ.2477 จะบัญญัติถึงความรับผิดของกรมไปรษณีย์ไว้เป็นพิเศษก็ตาม แต่เมื่อกรณีนี้เป็นเรื่องละเมิด มิใช่เป็นการทำผิดสัญญารับขน พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ 2477 จึงไม่เป็นประโยชน์แก่กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ด้วย เมื่อทรัพย์สินที่โจทก์ต้องเสียไปเพราะการละเมิดนั้นคือเงินจำนวน 40,000 บาทตามตั๋วแลกเงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 เอาไป ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงจากการละเมิดของจำเลยที่ 2 กรมไปรษณีย์โทรเลขจำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวนดังกล่าวให้โจทก์ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 9/2518)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ได้ส่งตั๋วแลกเงินจำนวน 40,000 บาท ของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเบตง สั่งจ่ายเงินเมื่อเห็นให้แก่โจทก์ที่ 2 ที่กรุงเทพฯ โดยฝากไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนที่ไปรษณีย์โทรเลขเบตง จังหวัดสงขลา แต่โจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับ เพราะจำเลยที่ 2 ขณะกระทำการตามหน้าที่กิจการงานของจำเลยที่ 3ได้ร่วมกับบุคคลอื่นเซ็นรับเอาซองไปรษณีย์ไป แล้วนำตั๋วแลกเงินนั้นเรียกเก็บเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ ซึ่งเป็นหน่วยงานของจำเลยที่ 1 เอง และโดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังตามหน้าที่ ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภได้จ่ายเงินจำนวนตามตั๋วแลกเงินนั้นให้ไป ทำให้โจทก์เสียหาย จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันรับผิดใช้เงินตามตั๋วแลกเงินนั้นพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องและต่อไปจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า การที่โจทก์ที่ 1 ส่งตั๋วแลกเงินโดยฝากเป็นไปรษณีย์ภัณฑ์ทางไปรษณีย์โทรเลขลงทะเบียนถึงโจทก์ที่ 2 เป็นผู้รับ แต่โจทก์ที่ 2 มิได้รับ แล้วมีคนนำตั๋วแลกเงินไปขึ้นเงินจากธนาคารจำเลยสาขาราชปรารภนั้น เป็นการกระทำของโจทก์เองหากเกิดความเสียหายขึ้นก็อยู่ในความรับผิดของโจทก์ที่จะต้องว่ากล่าวเอาจากจำเลยที่ 2 หรือจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำโดยประมาทไม่ต้องรับผิด

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา

จำเลยที่ 3 ให้การว่า ไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนของโจทก์ที่ 1 ได้ถูกนำจ่ายให้โจทก์ที่ 2 มีบุคคลในบ้านเดียวกับโจทก์ที่ 2 ลงนามรับไว้แทนแล้ว จึงมิใช่เรื่องไปรษณีย์ภัณฑ์สูญหายอันจะต้องชดใช้ตามพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 29 ใครจะนำตั๋วเงินดังกล่าวไปรับเงินจากจำเลยที่ 1 ไม่ใช่หน้าที่ของจำเลยที่ 1จะต้องรับผิด ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ จ่ายเงินตามตั๋วแลกเงินให้แก่ผู้ถือบัตรประชาชนซึ่งมิใช่ตัวนายอากาว แซ่ตั้งผู้ถือตั๋วแลกเงิน ถือว่าเป็นความประมาทของจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 ส่งจดหมายทางไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนบรรจุตั๋วแลกเงินลงไปในซองจดหมายซองเดียวกันกับซองจดหมายถึงโจทก์ที่ 2 เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับของกรมไปรษณีย์โทรเลขออกตามความในพระราชบัญญัติไปรษณีย์พ.ศ. 2477 มาตรา 22 เรียกว่าไปรษณีย์นิเทศ ข้อที่ 209 จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดในความเสียหายของโจทก์และหากมีการสูญหายไปจริงจำเลยที่ 3 ก็มีความรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองเพียง 40 บาท ตามข้อบังคับในไปรษณีย์นิเทศ ข้อ 150 และพระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 มาตรา 29, 30

ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานบุรุษไปรษณีย์ไม่ได้นำไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนของโจทก์ที่ 1 นำส่งตรงต่อโจทก์ที่ผู้รับ หากแต่ได้กระทำโดยทุจริตแอบอ้างตนเองเป็นโจทก์ที่ 2 นำตั๋วแลกเงินนั้นไปรับเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภแล้วหลบหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 2 เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการกระทำในทางที่จ้างของจำเลยที่ 3 จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 425 กรณีไม่เข้าข้อห้ามในไปรษณีย์นิเทศ ข้อ 209 และไม่ใช่เรื่องจดหมายหรือไปรษณีย์ภัณฑ์ลงทะเบียนหายตามข้อ 105 จำเลยที่ 1 ไม่ได้กระทำโดยประมาทหรือเลินเล่อ จึงไม่ต้องรับผิดพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันใช้เงินและดอกเบี้ยตามฟ้อง ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 1

จำเลยที่ 3 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยที่ 3 ฎีกา

ปัญหาว่า จำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าทางพิจารณาได้ความว่า โจทก์ที่ 1 ได้ส่งเงินจำนวน 40,000 บาท มาให้โจทก์ที่ 2 ผู้เป็นบุตรโดยการซื้อตั๋วแลกเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาเบตง บรรจุในซองจดหมายลงทะเบียนจ่าหน้าซองถึงโจทก์ที่ 2 ณ โรงเรียนพาณิชยการและการบัญชีพระนครจังหวัดพระนคร จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุรุษไปรษณีย์ประจำอยู่ไปรษณีย์สามเสนใน ได้รับมอบหมายให้นำไปรษณีย์ภัณฑ์บรรจุตั๋วแลกเงินดังกล่าวไปส่งให้แก่ผู้รับ ในการส่งนั้นปรากฏตามหลักฐานใบรับมีชื่อนายสุวิทย์ จิตเจริญ เป็นผู้รับแทนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2513 ต่อมาปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้ โดยมีผู้นำเอาชื่อโจทก์ที่ 2 ไปแอบอ้างขอรับเงินตามตั๋วและเงินดังกล่าวจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆประกอบกันแล้วเชื่อได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำปลอมหลักฐานใบรับขึ้นแล้วต่อมาจำเลยที่ 2 ได้กระทำหรือร่วมกับบุคคลอื่นแอบอ้างเป็นตัวโจทก์ที่ 2 โดยทุจริตนำตั๋วแลกเงินของโจทก์ไปรับเงินจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาราชปรารภ อันเป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้ทำละเมิดต่อโจทก์แล้ว แม้พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477 จะบัญญัติถึงความรับผิดของกรมไปรษณีย์ไว้เป็นพิเศษก็ตามศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า กรณีนี้เป็นเรื่องละเมิดมิใช่เป็นการทำผิดสัญญารับขน พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พ.ศ. 2477จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลย จำเลยที่ 3 จึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ส่วนปัญหาที่ว่าจำเลยที่ 3 จะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เพียงใดนั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ทรัพย์สินที่โจทก์ต้องเสียไปเพราะละเมิดนี้คือเงิน 40,000 บาท ตามตั๋วแลกเงินของโจทก์ที่จำเลยที่ 2 เอาไป ซึ่งเป็นความเสียหายโดยตรงจากการละเมิดของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 2 ชดใช้ราคาทรัพย์จำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย

พิพากษายืน

Share