คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2223/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คนยามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทโจทก์ได้รับคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ไว้จากบุรุษไปรษณีย์ ณ สำนักงานใหญ่ที่บริษัทโจทก์ได้จดทะเบียนไว้เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2513 ดังนี้ ถือว่าบริษัทโจทก์ได้รับแจ้งความคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามความในประมวลรัษฎากรมาตรา 30(2) ในวันนั้นแล้ว พฤติการณ์ต่าง ๆ ที่โจทก์นำสืบซึ่งทำให้ที่ปรึกษากฎหมายของโจทก์ได้รับเอกสารดังกล่าวในวันที่ 1 กันยายน 2513นั้น เป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าหน้าที่ของตนจะนำมาใช้ยันต่อจำเลยหาได้ไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องในวันที่ 30 กันยายน 2513 เกินกำหนด30 วัน คดีโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากรโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลยกเลิกเพิกถอนแบบคำสั่งให้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ให้โจทก์ชำระภาษีเงินได้นิติบุคคล 11,176,715.39 บาท และเงินเพิ่ม2,235,343.07 บาท รวมเป็นเงิน 13,412,058.48 บาท (ที่ถูกควรจะเป็น13,412,058.46 บาท)

จำเลยทั้งเจ็ดคนให้การรวมความได้ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) เพราะโจทก์ได้รับและทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยแล้ว เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2513 แต่โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2513 ถือได้ว่า โจทก์มิได้ยื่นฟ้องภายในกำหนดเวลา30 วันนับแต่วันที่โจทก์ได้รับทราบคำวินิจฉัยอุทธรณ์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2) ที่แก้ไข พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

จำเลยทั้งเจ็ดฎีกา

คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าบริษัทโจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ในวันที่ 27 สิงหาคม 2513ดังที่จำเลยอ้างหรือได้รับแจ้งในวันที่ 1 กันยายน 2513 ดังที่โจทก์อ้างข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นายเมืองหรือบุญเมือง คนยามของบริษัทโจทก์ได้ลงชื่อรับไว้จากบุรุษไปรษณีย์ ณ สำนักงานใหญ่ของโจทก์เมื่อวันที่ 27สิงหาคม 2513 ศาลฎีกาเห็นว่า การส่งเอกสารคำวินิจฉัยอุทธรณ์คดีนี้ได้ส่งให้แก่โจทก์ ณ สำนักงานใหญ่ที่บริษัทโจทก์ได้จดทะเบียนไว้ และส่งให้แก่คนยามซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของโจทก์ ถือได้ว่าบริษัทโจทก์ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามความในประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)ในวันที่ 27 สิงหาคม 2513 แล้ว ส่วนที่โจทก์นำสืบถึงพฤติการณ์ต่าง ๆที่ทำให้ที่ปรึกษากฎหมายของโจทก์ได้รับเอกสารดังกล่าวในวันที่ 1 กันยายน2513 นั้น เห็นว่าเป็นเรื่องระหว่างโจทก์กับเจ้าหน้าที่ของตน จะนำมาใช้ยันต่อจำเลยหาได้ไม่ เมื่อโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องในวันที่ 30 กันยายน 2513เกินกำหนด 30 วัน คดีโจทก์จึงต้องห้ามตามมาตรา 30(2) แห่งประมวลรัษฎากร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

พิพากษากลับเป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share