แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนลงโทษจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ยกฟ้องข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน จึงต้องถือว่าโจทก์พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนแล้ว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวเป็นไม่รอการลงโทษ และลงโทษปรับด้วย จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลย อันเป็นการต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 และบวกโทษจำคุกจำเลยที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3366/2548 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด เข้ากับโทษในคดีนี้
จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ปฏิเสธข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน และปรับ 10,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ส่วนข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อีกกระทงหนึ่ง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 12 ปี และปรับ 650,000 บาท เมื่อรวมโทษฐานเสพเมทแอมเฟตามีนแล้ว เป็นจำคุก 12 ปี 3 เดือน และปรับ 655,000 บาท ไม่รอการลงโทษแก่จำเลย บวกโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3366/2548 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ด เข้ากับโทษในคดีนี้ รวมจำคุก 13 ปี 9 เดือน และปรับ 655,000 บาท หากกักขังแทนค่าปรับให้มีระยะเวลาเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังว่า เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยกับนางสาวบุญน้อม ซึ่งเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของจำเลย พร้อมกับยึดได้เมทแอมเฟตามีน 416 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 9.554 กรัม จากนางสาวบุญน้อมซึ่งนั่งมาในรถยนต์โดยสารด้วยกันเป็นของกลาง โดยกล่าวหาว่าร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีน นางสาวบุญน้อมให้การรับสารภาพและศาลได้พิพากษาลงโทษไปแล้ว ส่วนจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีน แต่ให้การปฏิเสธในข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย สำหรับความผิดฐานร่วมกันเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งจำเลยให้การรับสารภาพนั้น คดียุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าจำเลยกระทำผิดจริงแล้ว
มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยร่วมกับนางสาวบุญน้อมกระทำผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาหรือไม่ เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสองไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน เหตุที่มีการตรวจค้นรถยนต์โดยสารประจำทางและจับกุมจำเลยกับนางสาวบุญน้อมได้ก็เนื่องจากก่อนหน้านี้พยานได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีชายหญิงคู่หนึ่งลักลอบขนเมทแอมเฟตามีนจากอำเภอแม่สายไปยังกรุงเทพมหานคร โดยนั่งมากับรถยนต์โดยสารประจำทาง ต่อมาพยานโจทก์ทั้งสองก็พบจำเลยกับนางสาวบุญน้อมนั่งคู่กันมาบนรถโดยสารประจำทางสายแม่สอด – กรุงเทพมหานคร ครั้นเมื่อพยานทั้งสองตรวจค้นจำเลยกับนางสาวบุญน้อมก็แสดงอาการพิรุธมือสั่น และจำเลยตอบคำถามวกวน ทั้งผลการตรวจค้นก็พบเมทแอมเฟตามีน 416 เม็ด อยู่ในถุงพลาสติกซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าเสื้อด้านหน้าล่างข้างขวาที่นางสาวบุญน้อมสวมใส่อยู่ตรงตามที่ได้รับแจ้งจากสายลับ คำของพยานโจทก์ทั้งสองจึงมีน้ำหนักน่ารับฟัง นอกจากนี้โจทก์ยังมีพันตำรวจโทสุวสันต์ ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในคดีนี้ร่วมกับร้อยตำรวจตรีธวัชชัย เบิกความว่า ในชั้นสอบสวนพยานได้สอบปากคำนางสาวบุญน้อมให้การรับว่าได้อยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยซึ่งทำงานเป็นพนักงานขับรถอยู่ที่บริษัทเดียวกัน ก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 เดือน นางสาวบุญน้อมเคยไปซื้อเมทแอมเฟตามีนจากคนเคยรู้จักที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก จำนวน 180 เม็ด โดยได้นำเอาไปเสพเองบ้าง ขายให้แก่คนขับรถและเด็กประจำรถยนต์โดยสารประจำทางที่ทำงานบริษัทเดียวกันบ้าง และแบ่งให้จำเลยซึ่งเป็นสามีเสพบ้างจนหมด ต่อมาก่อนเกิดเหตุประมาณ 1 สัปดาห์ นางสาวบุญน้อมก็ได้ติดต่อซื้อเมทแอมเฟตามีนจากผู้ขายคนเดิมอีก โดยร่วมกับผู้มีชื่อซื้อเป็นเงิน 26,000 บาท และได้โอนเงินไปให้ผู้ขายแล้ว นางสาวบุญน้อมจึงชักชวนจำเลยไปเที่ยวอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จากนั้นได้พากันเข้าพักโรงแรม แล้วนางสาวบุญน้อมได้ออกไปรับเมทแอมเฟตามีนจากผู้ขายและกลับมาพักที่โรงแรม ครั้นวันรุ่งขึ้นนางสาวบุญน้อมกับจำเลยได้ออกไปเที่ยวที่ตลาดริมเมย และในค่ำวันเดียวกันจึงขึ้นรถยนต์โดยสารเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร จนมาถูกเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีน และถูกจับกุมด้วยกันกับจำเลยยังที่เกิดเหตุ ซึ่งนางสาวบุญน้อมให้การไว้ภายหลังถูกจับกุมไม่นาน โดยที่นางสาวบุญน้อมยังไม่ทันมีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อเบี่ยงเบนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นได้ จึงน่าเชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงโดยสมัครใจ บันทึกคำให้การของนางสาวบุญน้อมดังกล่าวแม้จะถือเป็นพยานบอกเล่า แต่ก็ยังนำมารับฟังประกอบเพื่อสนับสนุนคำพยานของโจทก์ให้มีน้ำหนักรับฟังมากยิ่งขึ้นได้ ดังนี้ แม้เจ้าพนักงานตำรวจจะตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนที่ตัวนางสาวบุญน้อม มิได้ตรวจค้นพบที่ตัวจำเลยและจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอดก็ตาม แต่จากพฤติการณ์ที่จำเลยเป็นสามีของนางสาวบุญน้อมเดินทางมาที่อำเภอแม่สอดด้วยกันกับนางสาวบุญน้อม เข้าพักอาศัยที่โรงแรมในห้องพักเดียวกันและเดินทางกลับด้วยกัน ภายหลังจากที่นางสาวบุญน้อมไปรับเมทแอมเฟตามีนของกลางมาจากผู้ขายแล้ว ทั้งก่อนเดินทางกลับจำเลยยังได้เสพเมทแอมเฟตามีนด้วยกันกับนางสาวบุญน้อม อีกทั้งขณะถูกตรวจค้นจับกุมก็ได้แสดงอาการมือสั่นให้เห็นเป็นพิรุธ เช่นนี้ ย่อมมีเหตุผลบ่งชี้ชัดว่าจำเลยร่วมรู้เห็นกับนางสาวบุญน้อมในการเดินทางไปรับเมทแอมเฟตามีนที่นางสาวบุญน้อมซื้อไว้เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่พนักงานขับรถและเด็กประจำรถยนต์โดยสารที่กรุงเทพมหานครด้วยกัน อันเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ ทั้งนี้เพราะโดยปกติคงไม่มีผู้กระทำความผิดคนใดอยากให้ผู้อื่นที่ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องเข้ามาล่วงรู้การกระทำความผิดของตนด้วยเป็นแน่ พยานหลักฐานโจทก์เมื่อรับฟังประกอบกันแล้วย่อมมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า จำเลยร่วมกับนางสาวบุญน้อมมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ด้วย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 57, 91 ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 2 ปี ยกฟ้องโจทก์ข้อหาร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยเฉพาะข้อหาที่ศาลชั้นต้นยกฟ้องดังกล่าว โดยโจทก์มิได้อุทธรณ์ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน โดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายแต่อย่างใด จึงต้องถือว่าโจทก์พอใจคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายแล้ว ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้โทษจำเลยในข้อหาดังกล่าวเป็นไม่รอการลงโทษ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย อันเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 แม้จำเลยจะมิได้ยกขึ้นฎีกา แต่ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยและแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 12 ปี และปรับ 650,000 บาท บวกโทษจำคุก 1 ปี 6 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3366/2548 ของศาลจังหวัดร้อยเอ็ดเข้ากับโทษในคดีนี้รวมจำคุก 13 ปี 6 ปี และปรับ 650,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้กักขังแทนค่าปรับเป็นระยะเวลาเกินกว่า 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ส่วนความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีนให้บังคับคดีจำเลยไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6