คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6904/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของบ้านย่อมมีสิทธิใช้สอย และได้ซึ่งดอกผลกับทั้งมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิจะยึดถือครอบครองบ้านของโจทก์ด้วยเหตุใด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบบ้านแก่โจทก์ และขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านอันเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือ กับเป็นการใช้สิทธิขัดขวางและใช้สิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองบ้านจากจำเลยผู้เข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ด้วยวิธีการทางศาลแม้บ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของ ม. ซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่ามาก็ไม่เป็นเหตุตามกฎหมาย ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองบ้านแต่อย่างใดเมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์หมดสิทธิปลูกบ้านอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่ามาแล้ว ย่อมไม่กระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ในฐานะเจ้าของบ้านให้เสียไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาซื้อบ้านเลขที่ 3/92 จากโจทก์ราคา90,000 บาท ตกลงผ่อนชำระราคาเดือนละ 1,500 บาท โจทก์มอบบ้านให้จำเลยเข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญา แต่จำเลยชำระค่าบ้านให้แก่โจทก์เป็นเงินเพียง 9,500 บาท แล้วไม่ชำระให้โจทก์อีกเนื่องจากการซื้อขายบ้านดังกล่าวมิได้ทำตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้จึงตกเป็นโมฆะ โจทก์และจำเลยต่างต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องส่งคืนบ้านให้แก่โจทก์ ส่วนเงินจำนวน 9,500 บาท ที่จำเลยชำระให้แก่โจทก์นั้น โจทก์ขอคิดเป็นค่าเสียหายที่จำเลยได้อยู่อาศัยในบ้านของโจทก์จนถึงวันฟ้อง โจทก์มีหนังสือแจ้งให้จำเลยส่งมอบบ้านคืนให้แก่โจทก์และจำเลยกับบริวารออกจากบ้านพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากบ้านเลขที่ 3/92 และส่งมอบบ้านคืนให้แก่โจทก์ในสภาพสมบูรณ์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหายนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะส่งมอบบ้านคืนให้แก่โจทก์
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ แต่ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นนายชลอ หอมละมัย ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ แถลงรับข้อเท็จจริงว่าบ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่า
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยพร้อมบริวารออกจากบ้านเลขที่ 3/92 และส่งมอบคืนให้แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ฟังข้อเท็จจริงได้ว่า บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ สัญญาซื้อขายบ้านพิพาทซึ่งจำเลยตกลงซื้อจากโจทก์นั้นเป็นโมฆะ โจทก์แจ้งให้จำเลยส่งคืนบ้านและให้จำเลยกับบริวารออกจากบ้านพิพาท แต่จำเลยเพิกเฉย เนื่องจากบ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่ามาจากนางสาวมยุรี สิงห์โตแก้ว มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์เป็นเจ้าของบ้านพิพาท ย่อมมีสิทธิใช้สอย และได้ซึ่งดอกผล กับทั้งมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของตนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายทั้งมีสิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ดังกล่าว เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิจะยึดถือครอบครองบ้านพิพาทของโจทก์ด้วยเหตุใด โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบบ้านพิพาทแก่โจทก์ และขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านพิพาทอันเป็นการใช้สิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือ กับเป็นการใช้สิทธิขัดขวางและใช้สิทธิจะให้ปลดเปลื้องการรบกวนการครอบครองบ้านพิพาทนั้นจากจำเลยผู้เข้าเกี่ยวข้องโดยมิชอบด้วยกฎหมายได้ด้วยวิธีการทางศาลข้อเท็จจริงที่ว่าบ้านพิพาทปลูกอยู่ในที่ดินของนางสาวมยุรีซึ่งจำเลยเป็นผู้เช่ามานั้นไม่เป็นเหตุตามกฎหมาย ให้จำเลยมีสิทธิครอบครองบ้านพิพาทแต่อย่างใด เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์หมดสิทธิปลูกบ้านพิพาทอยู่ในที่ดินที่จำเลยเช่ามานั้นแล้วย่อมไม่กระทบถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ในฐานะเจ้าของทรัพย์สินคือบ้านพิพาทให้เสียไป
พิพากษายืน

Share