คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1376/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินมีโฉนดแปลงหนึ่งร่วมกันกับผู้มีชื่ออีก 5 คน ต่อมาจำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นของแต่ละคน และได้ตกลงกันตัดถนนทางด้านทิศเหนือของที่ดินที่ขอแบ่งแยกแต่ละแปลงไปออกยังถนนพหลโยธิน โจทก์ได้ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนของจำเลยจากจำเลยและวางมัดจำไว้ โดยระบุในข้อสัญญาว่า ในกรณีที่มีการทำถนนร่วมกัน ทุกฝ่ายได้ตกลงกันว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินให้เป็นสาธารณะ และช่วยกันลงทุนทำถนนร่วมกัน ในกรณีทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินทุกฝ่ายจะต้องลงทุนร่วมกันโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่ากัน ดังนี้ข้อสัญญาดังกล่าวเพียงแต่กล่าวว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินทำถนนและลงทุนทำถนนกับคอถนน เชื่อมกับถนนพหลโยธินโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่าๆ กัน ไม่มีทางที่จะแปลไปได้ว่า จำเลยตกลงรับผิดชอบทำถนนตลอดสายเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งมิได้ตกลงทำสัญญา และไปจดทะเบียนให้เป็นถนนสาธารณะด้วย ดังนั้น การที่เจ้าของร่วมคนหนึ่งสละที่ดินทำถนนแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ทำคอถนนในที่ดินส่วนของผู้นั้นไปเชื่อมกับถนนพหลโยธิน จึงถือมิได้ว่าจำเลยผิดสัญญา เมื่อโจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับซื้อที่ดินตามสัญญา โจทก์จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยชอบที่จะริบมัดจำเสียได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดที่ 2763 โดยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกับสามีและญาติของจำเลยรวมทั้งหมด 6 คน เป็นส่วนของจำเลย 200 ตารางวาจำเลยและผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ตกลงแบ่งแยกที่ดินกันเป็นส่วน ๆดังปรากฏตามภาพถ่ายแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง จำเลยได้ตกลงกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมโฉนดทำถนนทางด้านเหนือของที่ดิน มีความกว้าง 5 เมตร เริ่มต้นตั้งแต่แนวเขตที่ดินของจำเลยทางด้านตะวันออกและมีความยาวของถนนสุดเขตที่ดินของนางเซาะ ยิ่งนิยม จนจดถนนพหลโยธินทางด้านตะวันตก เพื่อให้เป็นทางสาธารณะ และได้มีเจ้าของที่ดินข้างเคียงซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของที่ดินโฉนดดังกล่าวได้สละที่ดินมีความกว้าง 2 เมตร มีความยาวตลอดแนวเขตที่ดินเพื่อทำถนนร่วมกันด้วย ถนนจึงมีความกว้าง 7 เมตร ยาวตลอดแนวเขตที่ดินจนจดถนนพหลโยธิน เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2513 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาจะขายที่ดินเฉพาะที่เป็นส่วนของจำเลยเนื้อที่ 200 ตารางวาให้แก่โจทก์ทั้งสองในราคาตารางวาละ 900 บาท และจำเลยได้ตกลงกับโจทก์ว่าต้องมีถนนกว้าง 7 เมตร ยาวไปบรรจบกับถนนพหลโยธินให้เป็นถนนสาธารณะเข้าออกได้ จำเลยได้รับเงินมัดจำค่าที่ดินจากโจทก์ไว้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน90,000 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์ทั้งสองจะต้องชำระต่อเมื่อจำเลยกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินร่วมโฉนดได้จดทะเบียนเป็นถนนสาธารณะ และทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินดังกล่าวเสร็จตามหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินท้ายฟ้อง ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2514 โจทก์และผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินกับเจ้าของที่ดินข้างเคียงได้ร่วมกันออกเงินทำถนนจนแล้วเสร็จ แต่ยังเชื่อมคอถนนกับถนนพหลโยธินไม่ได้ เพราะจำเลยไม่สามารถจะให้นางเซาะ ยิ่งนิยม เจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมไปทำการยื่นหนังสือขออนุญาตต่อกรมทางหลวงแผ่นดินเพื่อทำการก่อสร้างคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินได้ และเจ้าของที่ดินกรรมสิทธิ์ร่วมก็ไม่ยอมจดทะเบียนเป็นทางสาธารณะ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อขายที่ดิน โจทก์ให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินกับแจ้งให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 90,000 บาท และค่าปรับอีกสองเท่าของเงินมัดจำ จำเลยเพิกเฉย จึงขอให้บังคับจำเลยชำระเงินรวม 270,000 บาทแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 270,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ

จำเลยให้การว่า จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดที่ 2763 ตามฟ้อง ซึ่งเป็นส่วนของจำเลย 200 ตารางวา และเจ้าของที่ดินทุกแปลงตกลงจะทำถนนผ่านตลอดความยาวของที่ดิน แต่เฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้นที่ยินดีให้ยกเป็นทางสาธารณะ ส่วนเจ้าของคนอื่นจำเลยมิอาจทราบ จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายเฉพาะส่วนของจำเลยมีเนื้อที่ 200 ตารางวาให้แก่โจทก์ตารางวาละ 900 บาท และรับเงินมัดจำไว้ในวันทำสัญญาเป็นเงิน 90,000 บาท ส่วนที่เหลือโจทก์จะชำระให้เสร็จสิ้นเมื่อออกโฉนดใหม่เรียบร้อยแล้ว โดยผู้ขายจะมีหนังสือแจ้งให้ผู้จะซื้อทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน เมื่อจำเลยแบ่งแยกโฉนดใหม่แล้วจึงบอกกล่าวด้วยวาจาให้โจทก์มารับโฉนดและชำระเงินให้เรียบร้อยโจทก์ก็เพิกเฉย ในที่สุดจำเลยได้โทรเลขแจ้งให้โจทก์ทราบและมารับโฉนดพร้อมทั้งชำระเงินส่วนที่เหลือตามสัญญา มิฉะนั้นจะริบมัดจำปรากฏตามสำเนาท้ายคำให้การ เมื่อโจทก์ได้รับโทรเลขของจำเลยแล้วจึงให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญา หาว่าจำเลยผิดสัญญาและเรียกค่าปรับ ความจริงโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาเองที่ไม่ยอมมารับโฉนด โจทก์หามีสิทธิเรียกเบี้ยปรับตามสัญญาไม่ ส่วนข้อตกลงอย่างอื่นอยู่นอกเหนืออำนาจของจำเลย เมื่อบุคคลภายนอกไม่ยอมแยกถนนให้เป็นทางสาธารณะ และไม่ยอมทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธิน จำเลยไม่อาจบังคับได้ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยมีสิทธิริบเงินมัดจำ โจทก์จะขอบังคับจำเลยให้คืนเงินมัดจำและชำระค่าปรับไม่ได้ พิพากษายกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาต่อมา

ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติได้ว่า เดิมจำเลยกับนายมะสามีจำเลยและญาติรวม 6 คน มีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดที่ 2763 เป็นส่วนของจำเลย 200 ตารางวา ที่ดินแปลงนี้อยู่ติดกับถนนพหลโยธิน เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวจากตะวันตกไปตะวันออกจนจดถนนคลองซอยที่ 1 ต่อมาจำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ขอแบ่งแยกโฉนดเป็นของแต่ละคนแปลงหมายเลข 1 ของนางเซาะ ยิ่งนิยม อยู่ติดกับถนนพหลโยธิน และของจำเลยอยู่สุดทางตะวันออกจดคลองซอยที่ 1 คนละฟาก คลองเป็นที่ดินของโจทก์ซื้อไว้จากผู้อื่นเพื่อจัดสรรขาย จำเลยกับผู้มีกรรมสิทธิ์ร่วมได้ตกลงกันตัดถนนทางด้านเหนือของที่ดินไปออกถนนพหลโยธินเป็นทางกว้าง 5 เมตร และนางบีเยาะ อาดำ ซึ่งมีที่ดินอยู่เขตติดต่อกับทางตอนเหนือยกที่ดินให้ทำเป็นถนนอีก 2 เมตร จึงเป็นถนนกว้าง 7 เมตรโจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินส่วนของจำเลยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม2513 จำเลยได้รับเงินมัดจำจากโจทก์ในวันทำสัญญา 90,000 บาทตามสัญญาจะซื้อขายหมาย จ.3 ส่วนเงินที่เหลือโจทก์จะชำระให้เมื่อจำเลยแบ่งแยกโฉนดเรียบร้อยแล้ว ต่อมานายมะแซผู้รับจ้างทำถนนไม่สามารถทำถนนได้ตลอดสาย เพราะนางเซาะ ยิ่งนิยม เจ้าของที่ดินแปลงที่ติดกับถนนพหลโยธินไม่ยอมให้ทำ ส่วนการแบ่งแยกโฉนดทำเสร็จเรียบร้อยโดยได้กันที่ทำถนนเป็นเจ้าของร่วมกัน เจ้าพนักงานที่ดินมีหนังสือแจ้งให้จำเลยไปรับโฉนดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2515 จำเลยได้โทรเลขให้โจทก์ไปรับโอนโฉนดและชำระเงินที่เหลือตามเอกสารหมายล.1 หลังจากนั้นจำเลยก็ได้รับหนังสือของทนายโจทก์ตามเอกสาร จ.9 บอกเลิกสัญญาจะซื้อขาย อ้างว่าจำเลยผิดสัญญา โดยจำเลยไม่สามารถแบ่งแยกที่ดินให้เป็นทางสาธารณะได้ และทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินไม่ได้ตามสัญญาข้อ 6,7 ให้จำเลยคืนเงินมัดจำและชำระเบี้ยปรับตามสัญญา ทางจำเลยก็ถือว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ไปรับโอนโฉนดและชำระเงินที่เหลือ จึงริบมัดจำ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.3 ข้อ 6ระบุว่า “ในกรณีที่มีการทำถนนร่วมกัน ทุกฝ่ายได้ตกลงกันว่า ผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินให้เป็นสาธารณะและช่วยกันลงทุนทำถนนร่วมกัน ประมาณปี 2514 เป็นต้นไป” สัญญาข้อ 7 ว่า “ในกรณีทำคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธิน ทุกฝ่ายจะต้องลงทุนร่วมกันโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่ากัน” ศาลฎีกาเห็นว่าข้อสัญญาดังกล่าวเพียงแต่กล่าวว่าผู้ที่มีที่ดินร่วมกันจะสละที่ดินทำถนน และลงทุนทำถนนกับคอถนนเชื่อมกับถนนพหลโยธินโดยเฉลี่ยทุนทรัพย์เท่า ๆ กัน ไม่มีทางที่จะแปลได้ว่าจำเลยตกลงรับผิดชอบทำถนนตลอดสายเข้าไปในที่ดินส่วนของผู้อื่น ซึ่งมิได้ตกลงทำสัญญาและไปจดทะเบียนให้เป็นถนนสาธารณะด้วยดังโจทก์ฎีกาการที่นางเซาะ ยิ่งนิยม สละที่ดินทำถนนแล้ว แต่ยังไม่ยอมให้ทำคอถนนไปเชื่อมกับถนนพหลโยธิน คงเนื่องจากโจทก์ซื้อที่ดินคนละฟากคลองกับที่ดินโจทก์ซื้อจากจำเลย และจะใช้ถนนนี้เป็นทางสาธารณะเข้าออกที่ดินจัดสรรของโจทก์ไปยังถนนพหลโยธิน เมื่อโจทก์ใช้ถนนนี้เพื่อประโยชน์แก่ที่จัดสรรของโจทก์ไม่ได้ โดยนางเซาะไม่ยินยอมให้ทำคอถนนโจทก์จึงหาสาเหตุไม่ยอมรับซื้อที่ดินจำเลย หาใช่ความผิดของจำเลยไม่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา จำเลยจึงชอบที่จะริบเงินมัดจำได้ตามที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันมาให้ยกฟ้องโจทก์ชอบด้วยรูปคดีแล้ว

พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 2,000 บาทแทนจำเลย

Share