คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1194/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 กับพวก ผู้เสียหายที่ 2 ยืนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุด้วย แต่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้ร่วมมากับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกแต่แรก โดยเพิ่งเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุภายหลัง และยืนอยู่ห่างผู้เสียหายที่ 1 กับพวกที่ใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยประมาณ 10 เมตร การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงครั้งแรกด้วยประสงค์ยิงผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เนื่องจากพวกของผู้เสียหายที่ 1 ที่มาพร้อมกับผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้ใช้ไม้ตีจำเลยก่อน ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงในภายหลังห่างจากที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกถูกยิงครั้งแรกถึง 200 เมตร ต่างสถานที่กัน แม้จะเป็นการกระทำในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการใช้อาวุธปืนยิงโดยมีเจตนาแยกการกระทำเป็นรายบุคคล การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2546 เวลากลางคืนหลังเที่ยง จำเลยกับพวกอีก 1 คน ซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นขนาด .38 ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้ 1 กระบอก และกระสุนปืนไม่ทราบขนาด 6 นัด อันเป็นอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนตามกฎหมายใช้ยิงได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ จำเลยกับพวกร่วมกันพาอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนดังกล่าวติดตัวไปในเมือง หมู่บ้านชินลาภและตามถนนภายในหมู่บ้าน ตำบลสมอแข อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก อันเป็นทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนติดตัวโดยไม่มีเหตุอันสมควรและไม่เป็นกรณีที่ต้องมีอาวุธปืนติดตัวเมื่อมีเหตุจำเป็นและเร่งด่วนตามสมควรแก่พฤติการณ์ และจำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนดังกล่าวยิงนายจิรายุ พุฒิเพ็ญ ผู้เสียหายที่ 1 จำนวน 3 นัด โดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกบริเวณด้านข้างเท้าขวาของผู้เสียหายที่ 1 จำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและผู้เสียหายที่ 1 ได้รับการรักษาทันท่วงที ผู้เสียหายที่ 1 จึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 1 ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ ภายหลังที่จำเลยกับพวกกระทำความผิดดังกล่าว จำเลยกับพวกร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายปิยวัฒน์หรือบีม พุทธรักษ์ ผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 3 นัด โดยมีเจตนาฆ่า กระสุนปืนถูกบริเวณแขนขวาและแขนซ้ายท่อนปลายของผู้เสียหายที่ 2 จำเลยกับพวกลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากกระสุนปืนไม่ถูกอวัยวะสำคัญและผู้เสียหายที่ 2 รับการรักษาได้ทันท่วงที ผู้เสียหายที่ 2 จึงไม่ถึงแก่ความตายเพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายที่ 2 ได้รับอันตรายสาหัส กระดูกแขนหักต้องป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาและจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371 นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1529/2546 และ 1589/2546 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83, 91, 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น เป็นความผิดสองกระทงต่างกัน จำคุกกระทงละ 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 6 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น คงจำคุกกระทงละ 5 ปี จำนวน 2 กระทง รวมจำคุก 10 ปี ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต คงจำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน และทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร (ที่ถูกโดยไม่ได้รับใบอนุญาต) คงจำคุก 3 เดือน รวมจำคุก 10 ปี 9 เดือน ส่วนที่โจทก์ขอให้นับโทษจำเลยต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1592/2546 และ 1589/2546 ของศาลชั้นต้น คดีทั้งสองสำนวนดังกล่าวศาลยังไม่มีคำพิพากษา จึงให้ยกคำขอในส่วนนี้
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองเป็นความผิดกรรมเดียว และให้ลดมาตราส่วนโทษให้แก่จำเลยกระทงละกึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธปืน จำคุก 3 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสอง จำคุก 5 ปี รวมสามกระทงเป็นจำคุก 5 ปี 9 เดือน ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 อีกกระทงละกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 10 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 กับพวกใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยก่อน ผู้เสียหายที่ 2 เดินเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุในภายหลัง โดยผู้เสียหายที่ 2 อยู่ห่างจากจุดที่เกิดเหตุประมาณ 10 เมตร ผู้เสียหายที่ 2 อยู่ห่างจากจำเลยประมาณ 15 เมตร หลังจากจำเลยถูกผู้เสียหายที่ 1 กับพวกตี จำเลยชักอาวุธปืนออกจากเอวยิงไปทางกลุ่มผู้เสียหายที่ 1 กับพวก 3 นัด กระสุนปืนถูกผู้เสียหายที่ 1 บริเวณเท้าขวา 1 นัด ผู้เสียหายที่ 2 กับพวกขับรถจักรยานยนต์หนีไปบริเวณหน้าหมู่บ้านชินลาภห่างจากบริเวณซอย 4 ประมาณ 200 เมตร จำเลยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ พวกของจำเลยขับตามทันแล้ว จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2 จำนวน 1 นัด ผู้เสียหายที่ 2 หลบหนีไปบริเวณตู้โทรศัพท์หน้าหมู่บ้าน แต่จำเลยตามไปใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 2 อีก 1 นัด จากนั้นจำเลยได้หลบหนีไป ในชั้นนี้ คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า ความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือไม่ เห็นว่า แม้จะได้ความว่าขณะที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายที่ 1 กับพวก ผู้เสียหายที่ 2 จะยืนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุด้วย แต่ผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้ร่วมมากับผู้เสียหายที่ 1 กับพวกแต่แรก โดยผู้เสียหายที่ 2 เพิ่งเข้ามาบริเวณที่เกิดเหตุภายหลัง และยืนอยู่ห่างผู้เสียหายที่ 1 กับพวกที่ใช้ไม้ตีทำร้ายจำเลยประมาณ 10 เมตร การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงครั้งแรกน่าจะประสงค์ยิงผู้เสียหายที่ 1 กับพวก เนื่องจากพวกของผู้เสียหายที่ 1 ที่มาพร้อมกับผู้เสียหายที่ 1 เป็นผู้ใช้ไม้ตีจำเลยก่อน ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ถูกจำเลยใช้อาวุธปืนยิงในภายหลังที่บริเวณหน้าหมู่บ้านชินลาภซึ่งเป็นสถานที่ห่างจากที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 กับพวกถูกยิงครั้งแรกถึง 200 เมตร ต่างสถานที่กัน แม้จะเป็นการกระทำในเวลาต่อเนื่องกัน แต่ก็เป็นการใช้อาวุธปืนยิงโดยมีเจตนาแยกการกระทำเป็นรายบุคคล การกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม มิใช่กรรมเดียวตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่าความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายทั้งสองเป็นความผิดสองกรรมให้เรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 เมื่อลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 แล้ว จำคุกกระทงละ 5 ปี ลดโทษให้จำเลยอีกกระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 6 เดือน รวมสองกระทงเป็นจำคุก 4 ปี 12 เดือน เมื่อรวมกับโทษในความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ แล้ว เป็นจำคุก 4 ปี 16 เดือน 15 วัน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6.

Share