คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1492/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่ารับซื้อฝากที่ดินและโรงเรือนไว้จากผู้มีชื่อ 2 ห้องโดยทำสัญญาและจดทะเบียนกันที่อำเภอ จำเลยได้ทำละเมิดบังอาจปิดประตูใส่กุญแจโรงเรือนซึ่งรับซื้อฝากนั้น จึงขอให้ห้ามจำเลยมิให้เกี่ยวข้อง
จำเลยให้การว่า ห้องที่โจทก์รับซื้อฝากไว้นั้นเดิมเป็นมรดกของบรรพบุรุษตกทอดมา ห้องที่จำเลยปิดได้แก่ทายาทอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่ผู้ขายฝาก และทายาทผู้นั้นได้ให้จำเลยครอบครองเก็บค่าเช่าต่างดอกเบี้ยเงินกู้ ดังนี้ เป็นหน้าที่จำเลยต้องนำสืบก่อน เมื่อทั้งสองฝ่ายไม่สืบพยานกัน ก็ต้องตัดสินให้โจทก์ชนะคดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้รับซื้อฝากกรรมสิทธิ์ที่ดินพร้อมกับโรงเรือนจากนางฟุ้ง 2 ห้อง จำเลยได้ละเมิดสิทธิของโจทก์โดยบังอาจปิดประตูใส่กุญแจโรงเรือน ซึ่งโจทก์รับซื้อฝากมานั้นเสีย จึงขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยต่อสู้ว่า โรงเรือน 2 ห้องกับที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นมรดกของบรรพบุรุษตกทอดมายังนายอนันต์ นางฟุ้ง นายเฉลิม นายหนูเป็นผู้รับมรดก และได้แบ่งสรรปันส่วนกันแล้ว ห้องที่จำเลยปิดใส่กุญแจ ได้แก่นายอนันต์ ๆ ให้จำเลยครอบครอง เก็บค่าเช่าต่างดอกเบี้ยเงินกู้ นางฟุ้งไม่มีอำนาจเอาไปขายฝากแก่โจทก์ ฯลฯ

โจทก์จำเลยต่างไม่สืบพยาน

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ พิพากษากลับให้จำเลยเปิดประตูโรงเรือนพิพาท และไม่ให้จำเลยเกี่ยวข้องต่อไป

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า คดีนี้ จำเลยได้รับรองในความเป็นเจ้าของส่วนของนางฟุ้งแล้ว ทั้งจำเลยก็ทราบดีว่านางฟุ้งได้ทำสัญญาและจดทะเบียนณ อำเภอตะกั่วทุ่ง ขายฝากโรงเรือนพิพาทไว้กับโจทก์ ฯลฯ ข้อต่อสู้ของจำเลยอย่างอื่นตกหน้าที่จำเลยจะต้องแสดงให้เห็นว่า การมิได้เป็นไปโดยสุจริต เมื่อจำเลยไม่สืบพยานจึงไม่มีทางที่จะชนะคดีได้จึงพิพากษายืน

Share