คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1736/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในชั้นตรวจคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 104 แม้จะไม่มีผู้คัดค้านคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ และเจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นหรือเป็นผู้เป็นโจทก์ในคดีล้มละลาย เจ้าหนี้ก็มีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า มูลหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว เจ้าหนี้อ้างว่า บริษัท ผ. เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันและตั๋วสัญญาใช้เงิน โดยลูกหนี้ทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกัน แต่เจ้าหนี้ไม่มีบัญชีกระแสรายวันและตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ทั้งไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันของลูกหนี้ ทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจสอบสวนถึงมูลหนี้แห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้น การที่เจ้าหนี้มีเพียงสำเนาคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งแนบท้ายคำขอรับชำระหนี้เท่านั้นยังไม่เพียงพอที่ให้เชื่อได้ว่าลูกหนี้ทั้งสองเป็นหนี้ตามจำนวนที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ และเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯมาตรา 94
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา1 ฉบับ ในการอุทธรณ์หรือฎีกาจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ25 บาท เท่านั้นตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 179(2)

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลย) ทั้งสองเด็ดขาดเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2540 ธนาคารเอเชียจำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน25,506,419.81 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองรายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้

เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจากมูลหนี้ตั๋วเงินเป็นเงิน25,506,419.81 บาท เจ้าหนี้มีหน้าที่ต้องนำสืบพยานหลักฐานต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 84 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 เมื่อเจ้าหนี้ไม่นำพยานมาให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนทั้งคำพิพากษาที่เจ้าหนี้ส่งต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นเพียงสำเนาเอกสารซึ่งต้องห้ามมิให้รับฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 เจ้าหนี้จึงไม่มีพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่ามูลหนี้มีอยู่จริงและสมควรได้รับชำระหนี้ จึงไม่อาจพิจารณาให้ตามที่ขอ เห็นควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 107(1)

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์

เจ้าหนี้อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

เจ้าหนี้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายตรวจวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งสองหรือไม่ เจ้าหนี้ฎีกาว่า หนี้ที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้เป็นหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งในการพิจารณาของศาลชั้นต้น เจ้าหนี้ได้นำสืบต้นฉบับเอกสารให้ศาลเห็นว่าลูกหนี้ทั้งสองมีหนี้ต่อเจ้าหนี้ตามมูลหนี้แห่งเอกสารศาลชั้นต้นเชื่อว่าลูกหนี้ทั้งสองเป็นหนี้เจ้าหนี้จริง จึงได้พิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี แม้คำพิพากษาที่อ้างส่งเป็นสำเนาก็หาเป็นสาระสำคัญไม่เพราะเมื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทำความเห็นส่งศาลชั้นต้นแล้วศาลชั้นต้นสามารถตรวจสำนวนดูความถูกต้องของคำพิพากษาได้จึงไม่มีเหตุผลที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะต้องสอบสวนพยานเอกสารอีก ศาลฎีกาเห็นว่า ผู้ขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายแม้จะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีอื่นหรือเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ในคดีล้มละลายนั้นเอง และในชั้นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 104 แม้จะไม่มีผู้คัดค้านขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ก็ตามเจ้าหนี้ผู้ยื่นคำขอรับชำระหนี้นั้นมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า มูลหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าว เมื่อเจ้าหนี้ไม่ส่งต้นฉบับเอกสารอันเป็นหลักฐานสำคัญของหนี้ที่ลูกหนี้ทั้งสองมีต่อเจ้าหนี้และกรณีมิใช่ต้นฉบับเอกสารหาไม่ได้เพราะสูญหายหรือถูกทำลายโดยเหตุสุดวิสัย หรือไม่สามารถนำต้นฉบับมาได้โดยประการอื่น เพื่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือศาลจะอนุญาตให้เจ้าหนี้นำสำเนาหรือพยานบุคคลมาสืบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) จึงชอบที่ศาลล่างทั้งสองจะพิจารณาพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่ในสำนวนการสอบสวนของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้อ้างว่า บริษัทผลิตภัณฑ์กระป๋องกรุงเทพ จำกัด เป็นหนี้เจ้าหนี้ตามบัญชีกระแสรายวันและตามตั๋วสัญญาใช้เงิน เป็นเงิน 5,273,218.97 บาท โดยลูกหนี้ทั้งสองเป็นผู้ค้ำประกันหนี้ดังกล่าว แต่เจ้าหนี้ไม่มีบัญชีกระแสรายวันและตั๋วสัญญาใช้เงินอันเป็นหลักฐานแห่งหนี้ ทั้งไม่มีหนังสือสัญญาค้ำประกันของลูกหนี้ ทำให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่อาจสอบสวนถึงมูลหนี้แห่งคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ การที่เจ้าหนี้มีเพียงสำเนาคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ 6066/2529ของศาลชั้นต้น ซึ่งแนบท้ายคำขอรับชำระหนี้เท่านั้น ยังไม่เพียงพอที่จะให้เชื่อได้ว่า ลูกหนี้ทั้งสองเป็นหนี้ตามจำนวนที่เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ และหนี้นั้นเป็นหนี้ที่อาจขอรับชำระหนี้ได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 94 ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษาให้ยกคำขอรับชำระหนี้เสียทั้งสิ้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 107(1) นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง ปรากฏว่าเจ้าหนี้รายนี้เป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามคำพิพากษา 1 ฉบับ ในการอุทธรณ์หรือฎีกาต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงศาลละ 25 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179(2) วรรคท้าย เจ้าหนี้เสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกามาชั้นศาลละ 200 บาท เกินมารวม 350 บาทจึงให้คืนค่าขึ้นศาลที่เกินมาแก่เจ้าหนี้”

พิพากษายืน คืนค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาส่วนที่เกินมา350 บาท แก่เจ้าหนี้

Share