คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3500/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ศาลชั้นต้นที่รับคำฟ้องต้องส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเฉพาะในการดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาท หาได้มีบทบัญญัติให้ต้องมีการส่งหมายและสำเนาคำร้องขอให้แก่ผู้ใดในการดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทไม่ การที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องขอเลิกมูลนิธิของผู้ร้องโดยประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนคำร้องในหนังสือพิมพ์รายวันและได้ไต่สวนคำร้องหลังจากครบกำหนดประกาศดังกล่าว 15 วัน โดยไม่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องให้ผู้คัดค้านทั้งห้าก่อนไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง จึงชอบแล้ว เมื่อผู้คัดค้านทั้งห้ามิได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นซึ่งไต่สวนและมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิขึ้นใหม่ตามคำร้องขอของผู้ร้องและคดีถึงที่สุดแล้ว ผู้คัดค้านทั้งห้าจะมีอำนาจร้องขอเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลดังกล่าวในคดีก่อนได้ต่อเมื่อมีกฎหมายให้สิทธิผู้คัดค้านทั้งห้าร้องขอต่อศาลได้เช่นนั้น แต่กรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิผู้ใดร้องขอต่อศาลเช่นนั้นได้ ผู้คัดค้านทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่แต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิขึ้นใหม่ในคดีนี้ได้ หากคำสั่งศาลดังกล่าวทำให้สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้คัดค้านทั้งห้าถูกโต้แย้งก็ชอบที่ผู้คัดค้านทั้งห้าจะฟ้องผู้ที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า มูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ได้จัดตั้งขึ้นและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2525 ตามตราสารจัดตั้งให้มีคณะกรรมการมูลนิธิจำนวนไม่น้อยกว่า 8 คน แต่ไม่เกิน 14 คน เป็นผู้ดำเนินงานของมูลนิธินั้น กรรมการมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ4 ปี และเพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิเป็นไปโดยติดต่อกันเมื่อคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติหน้าที่ครบ 2 ปีให้มีการจับสลากออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิครั้งแรก การประชุมคณะกรรมการทุกครั้งต้องมีกรรมการเข้าประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงเป็นองค์ประชุม เมื่อเริ่มแรกมูลนิธิได้จัดตั้งคณะกรรมการดำเนินงานจำนวน 8 คน ต่อมาวันที่ 2 กรกฎาคม2528 คณะกรรมการมูลนิธิได้มีการประชุมและจับสลากกรรมการออก 4 คนและในวันเดียวกันคณะกรรมการมูลนิธิที่เหลือได้มีมติแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งโดยการจับสลากออกดังกล่าวเป็นกรรมการต่อไป และได้มีการจดทะเบียนการเปลี่ยนแปลงกรรมการแล้วกรรมการที่มิได้จับสลากออกดำรงตำแหน่งถึงวันที่ 14 มกราคม 2529ส่วนกรรมการที่จับสลากออกและได้รับการแต่งตั้งเข้ามาใหม่ดำรงตำแหน่งจนถึงวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 คณะกรรมการมูลนิธิทั้งชุดดังกล่าวได้ขาดจากตำแหน่งกรรมการมูลนิธิไปแล้วตั้งแต่วันที่ 14มกราคม 2529 และวันที่ 1 กรกฎาคม 2532 โดยมิได้มีการประชุมคณะกรรมการเพื่อแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิเข้ามาใหม่ ปัจจุบันมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์จึงไม่มีคณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิไม่อาจดำเนินการใด ๆ ได้ ขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งบุคคล 9 คนตามบัญชีรายชื่อและตำแหน่งของคณะกรรมการเอกสารท้ายคำร้องหมายเลข 7 เป็นคณะกรรมการมูลนิธิดังกล่าวต่อไป ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วเห็นว่า คณะกรรมการมูลนิธิชุดเดิมจัดการผิดพลาดเสื่อมเสียที่ไม่ได้ตั้งคณะกรรมการมูลนิธิขึ้นใหม่ตามตราสาร และมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ขึ้นใหม่มีจำนวน 9 คน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 91
ผู้คัดค้านทั้งห้ายื่นคำร้องคัดค้านว่า ขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการของผู้คัดค้านที่ 1ขึ้นใหม่ และศาลมีคำสั่งตามคำร้องขอของผู้ร้องเช่นนั้น ผู้คัดค้านที่ 1 มีผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 และบุคคลอื่นอีก 4 คน รวม 8 คนเป็นคณะกรรมการดำเนินงานของผู้คัดค้านที่ 1 อยู่ มิได้ขาดจากตำแหน่ง และการดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าวมิได้จัดการผิดพลาดเสื่อมเสียแก่ผู้คัดค้านที่ 1 คณะกรรมการดังกล่าวจะดำรงตำแหน่งครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2534 ผู้ร้องไม่มีอำนาจร้องขอให้ศาลแต่งตั้งคณะกรรมการของผู้คัดค้านที่ 1ขึ้นใหม่ เหตุที่ผู้คัดค้านทั้งห้ามิได้ยื่นคำคัดค้านเข้ามาในคดีในระหว่างการไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้อง เพราะผู้คัดค้านทั้งห้าไม่ทราบถึงการดำเนินคดีนี้มาก่อน เนื่องจากศาลมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขอให้ผู้คัดค้านทั้งห้า การที่ศาลประกาศนัดไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้องทางหนังสือพิมพ์เป็นการไม่ชอบ ขอให้เพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ และมีคำสั่งว่าผู้คัดค้านที่ 2 ถึงที่ 5 และกรรมการอีก 4 คน รวม 8 คน ยังคงเป็นกรรมการของผู้คัดค้านที่ 1 อยู่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์โดยชอบแล้ว ให้ยกคำร้องคัดค้านผู้คัดค้านทั้งห้าอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาที่ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกาว่า การที่ศาลชั้นต้นมิได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องให้ผู้คัดค้านทั้งห้าทราบก่อนไต่สวนคำร้องขอของผู้ร้อง เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบหรือไม่ เสียก่อนเป็นข้อแรก ในปัญหานี้ได้ความว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ศาลชั้นต้นสั่งรับคำร้องขอและนัดไต่สวนคำร้องโดยประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนคำร้องในหนังสือพิมพ์ เห็นว่า ที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ขึ้นใหม่โดยอ้างว่ามูลนิธิไม่มีคณะกรรมการดำเนินงานและไม่อาจดำเนินการใด ๆ ได้ หากปล่อยให้คณะกรรมการว่างเนิ่นนานไปจะเกิดความเสียหายแก่มูลนิธินั้น เป็นกรณีที่ผู้ร้องจำเป็นจะใช้สิทธิทางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 ซึ่งผู้ร้องได้ดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 188 โดยเริ่มคดีด้วยการยื่นคำร้องขอซึ่งเป็นคำฟ้องต่อศาล ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ ศาลชั้นต้นที่รับคำฟ้องต้องส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยเฉพาะในการดำเนินคดีอย่างคดีมีข้อพิพาท โดยไม่มีบทบัญญัติให้ต้องมีการส่งหมายและสำเนาคำร้องขอให้แก่ผู้ใดในการดำเนินคดีอย่างคดีไม่มีข้อพิพาท ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องโดยประกาศคำร้องขอและกำหนดนัดไต่สวนคำร้องดังกล่าวในหนังสือพิมพ์สยามรายวันตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2533 และได้ทำการไต่สวนคำร้องเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2533 หลังจากครบกำหนดประกาศดังกล่าว15 วัน โดยไม่ได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำร้องขอของผู้ร้องให้ผู้คัดค้านทั้งห้าก่อนไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ชอบแล้ว ฎีกาของผู้คัดค้านทั้งห้าข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปตามที่ผู้คัดค้านทั้งห้าฎีกาว่าผู้คัดค้านทั้งห้ามีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่แต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ขึ้นใหม่ได้หรือไม่ในปัญหานี้เห็นว่าการที่ผู้คัดค้านทั้งห้าอ้างว่าผู้คัดค้านที่ 2ถึงที่ 5 และบุคคลอื่นอีก 4 คน รวม 8 คน ยังเป็นคณะกรรมการดำเนินงานของผู้คัดค้านที่ 1 อยู่มิได้ขาดจากตำแหน่งและมิได้จัดการผิดพลาดเสื่อมเสียแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ในขณะที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการของผู้คัดค้านที่ 1 ขึ้นใหม่ โดยอ้างว่าคณะกรรมการของผู้คัดค้านที่ 1ทั้งชุดได้ขาดจากตำแหน่งกรรมการมูลนิธิไปแล้ว โดยมิได้มีการแต่งตั้งกรรมการมูลนิธิเข้ามาใหม่ หากปล่อยให้ตำแหน่งคณะกรรมการว่างเนิ่นนานไปจะเกิดความเสียหายแก่ผู้คัดค้านที่ 1 ได้นั้นแม้เป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ร้องได้โต้แย้งสิทธิและหน้าที่ของผู้คัดค้านทั้งห้า ซึ่งทำให้ผู้คัดค้านทั้งห้ามีสิทธิยื่นคำคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องเพื่อเข้ามาเป็นคู่ความในระหว่างการพิจารณาคดีก่อนของศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 188(4) ได้ก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าผู้คัดค้านทั้งห้ามิได้ยื่นคำคัดค้านคำร้องขอของผู้ร้องในระหว่างการพิจารณาคดีก่อนของศาลชั้นต้นและศาลชั้นต้นในคดีก่อนได้พิจารณาไต่สวนและมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ขึ้นใหม่ตามคำร้องขอของผู้ร้อง คดีถึงที่สุดแล้วผู้คัดค้านทั้งห้าจะมีอำนาจร้องขอเป็นคดีนี้ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลดังกล่าวในคดีก่อนได้ก็ต่อเมื่อมีกฎหมายให้สิทธิผู้คัดค้านทั้งห้าร้องขอต่อศาลได้เช่นนั้นแต่กรณีนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติให้สิทธิผู้ใดร้องขอต่อศาลเช่นนั้นได้ผู้คัดค้านทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลที่แต่งตั้งคณะกรรมการมูลนิธิเกริกมังคละพฤกษ์ขึ้นใหม่ในคดีนี้ได้หากคำสั่งศาลดังกล่าวทำให้สิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายของผู้คัดค้านทั้งห้าถูกโต้แย้ง ก็ชอบที่ผู้คัดค้านทั้งห้าจะฟ้องผู้ที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของผู้คัดค้านทั้งห้าเป็นคดีอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ที่ศาลล่างทั้งสองยกคำร้องคัดค้านของผู้คัดค้านทั้งห้านั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share