คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1066/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องของโจทก์ และค้างค่าเช่า 4 เดือน ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเช่าที่ค้าง จำเลยให้การว่า โจทก์ขอขึ้นค่าเช่า จำเลยไม่ยอม โจทก์เลยไม่มาเก็บ จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อกรมการอำเภอ ขอให้เรียกโจทก์มารับค่าเช่า โจทก์รับหมายแล้วไม่มาอำเภอ ดังนี้ คดียังไม่พอชี้ขาดว่าฝ่ายใดผิดนัด เพราะการที่จำเลยไปยื่นคำร้องขอให้อำเภอเรียกโจทก์มารับชำระค่าเช่านั้น ไม่เป็นเหตุพอให้ถือได้โดยเด็ดขาดว่าจำเลยได้ชำระค่าเช่าแก่โจทก์ คดีต้องฟังข้อเท็จจริงกันต่อไป.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าห้องแถวของโจทก์ ค่าเช่าเดือนละ ๕๐ บาท จำเลยงดชำระค่าเช่าตั้งแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๑ มาจนบัดนี้เป็นเวลา ๔ เดือน โจทก์เตือนจำเลยเพิกเฉย จึงขอให้จำเลยออกจากห้องเช่าและใช้ค่าเช่าที่ค้าง จำเลยให้การว่า โจทก์ขอขึ้นค่าเช่า จำเลยไม่ยอม โจทก์เลยไม่มาเก็บ จำเลยได้ไปยื่นคำร้องต่อกรมการอำเภอ ขอให้เรียกโจทก์มารับค่าเช่า โจทก์รับหมายแล้ว ไม่มาที่อำเภอ ค่าเช่าค้างไม่ใช่ความผิดของจำเลย
คู่ความรับกันว่า จำเลยคงค้างค่าเช่าแต่เดือนมกราคม ๒๔๙๑ เป็นต้นมา ในเดือนกุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ จำเลยยื่นคำขอต่ออำเภอ ขอให้เรียกโจทก์มารับเงินค่าเช่า โจทก์ได้รับหมายเรียกแล้วแต่ไม่ไปอำเภอ จำเลยได้นำเงินค่าเช่า ๒๐๐ บาทมาวางศาล โจทก์ยอมรับค่าเช่าที่วางศาลนี้ ศาลชั้นต้นงดสืบพะยานแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ผิดนัด พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้าง คำขอนอกนั้นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพะยานโจทก์,จำเลย แล้วพิพากษาใหม่
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามคำฟ้อง, คำให้การ และคำแถลงรับของคู่ความ ยังไม่พอวินิจฉัยว่าฝ่ายใดผิดนัด เพราะการที่จำเลยไปยื่นคำร้องที่อำเภอขอให้เรียกโจทก์มารับชำระค่าเช่านั้น ไม่เป็นเหตุพอให้ถือโดยเด็ดขาดว่า จำเลยได้ชำระค่าเช่าแก่โจทก์
พิพากษายืน.

Share