คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 119/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

รถยนต์ของกลางของจำเลยในคดีความผิดฐานรับของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร และใช้รถยนต์วิ่งบนทางหลวงที่ยังมิได้เปิดเป็นถนนสาธารณโดยไม่รับอนุญาต ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ยึดไว้และได้มอบให้บุคคลอื่นรักษาไว้ในระหว่างคดี หากจำเลยได้เอารถคันนั้นไปโอนขายให้บุคคลภายนอก และบุคคลภายนอกได้รับซื้อไว้โดยสุจริต โดยไม่รู้ว่าเป็นรถที่ถูกยึดไว้เป็นของกลางในคดี บุคคลภายนอกผู้นั้นย่อมได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์คันนั้น ต่อมาภายหลังเมื่อคดีถึงศาลและศาลได้พิพากษาให้ริบรถยนต์ของกลาง บุคคลภายนอกผู้นั้นย่อมร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์ของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบนั้นได้ รูปคดีเช่นนี้จะปรับด้วยบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 24 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2497 มาตรา 3 หาได้ไม่

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลพิพากษาลงโทษนายจรินทร์กับพวกฐานรับของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรและใช้รถยนต์วิ่งบนทางหลวงที่ยังมิได้เปิดเป็นถนนสาธารณโดยไม่ได้รับอนุญาต กับให้ริบของกลางเสียทั้งหมด ของกลางที่ให้ริบนั้นมีรถยนต์ของนายจรินทร์ จำเลยรวมอยู่ด้วยคันหนึ่ง แต่โดยที่รถยนต์ของกลางคันนี้ถูกจับส่งมายังพนักงานสอบสวนได้เพียง ๒ วัน นายวัลลภทนายความได้รับอนุญาตให้นำกลับไปรักษาไว้ในระหว่างคดี ครั้นศาลพิพากษาให้ริบ ปรากฏว่ารถยนต์คันนี้อยู่ที่นายเผือกผู้ร้อง นายวัลลภจึงขอให้พนักงานสอบสวนยึดรถคันนี้จากผู้ร้องเพื่อริบตามคำพิพากษา ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลว่า ผู้ร้องได้ซื้อรถยนต์คันนี้จากนายจรินทร์ จำเลย โดยโอนทะเบียนซื้อขายกันต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ผู้ร้องมิได้ทราบเลยว่าเป็นรถที่ติดอยู่ในคดี ได้ซื้อไว้โดยบริสุทธิ์และนำออกใช้สอยโดยเปิดเผยตลอดมา ขอให้ศาลสั่งคืนรถคันนี้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้องเสีย
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วฟังว่า ผู้ร้องได้ทราบอยู่แล้วในขณะโอนซื้อขายกันว่าเป็นรถของกลางในคดี มีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้องเสีย
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า ผู้ร้องได้ซื้อรถของกลางนี้ไว้โดยสุจริต ผู้ร้องย่อมได้กรรมสิทธิ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นโดยคืนรถยนต์ของกลางนี้ให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่ารถคันที่พิพาทนี้ได้ถูกพนักงานสอบสวนยึดไว้เพื่อบังคับการให้เป็นไปตามกฎหมาย โดยมอบให้จำเลยอื่นซึ่งไม่ใช่นายจรินทร์จำเลยรักษาไว้ แม้ตามมาตรา ๑๔๒ แห่งประมวลกฎหมายอาญา ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำให้สูญหาย หรือไร้ประโยชน์ อาจเป็นความผิดมีโทษทางอาญาได้ก็ดี แต่กรรมสิทธิ์ในรถคันนี้ยังคงอยู่แก่นายจรินทร์จำเลยผู้เป็นเจ้าของตลอดมา ผู้ซื้อรับโอนกรรมสิทธิ์ไปจากนายจรินทร์จำเลยก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์ตามที่รับโอนไปนั้น เว้นแต่รับโอนโดยไม่สุจริต กล่าวคือ รู้อยู่แล้วว่าเป็นรถที่ถูกยึดไว้เป็นของกลางในคดี ก็ยังขืนรับซื้อรับโอนไว้ ก็ย่อมจะอ้างกรรมสิทธิ์นั้นขึ้นต่อสู้ยันแก่พนักงานสอบสวนซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ใช่คู่สัญญากับตน เพื่อมิให้รถต้องถูกริบตามคำพิพากษาหาได้ไม่ ข้อวินิจฉัยต่อไปจึงมีว่า ผู้ร้องได้รับซื้อรถพิพาทหนี้จากนายจรินทร์จำเลยโดยสุจริตดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างหรือรับซื้อโดยไม่สุจริตดั่งที่โจทก์คัดค้าน ศาลฎีกาพิจารณาพยานหลักฐานตามที่ปรากฎในทางไต่สวนแล้วฟังข้อเท็จจริงว่า ผู้ร้องได้รับซื้อรถคันนี้ไว้โดยสุจริต ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถของกลางคันพิพาทให้แก่ผู้ร้อง จึงชอบด้วยรูปคดีแล้ว ส่วนที่โจทก์กล่าวในคำแถลงการณ์ประกอบฎีกาว่า ผู้ร้องมิได้มาร้องขอคืนรถของกลางเสียภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับโอนกรรมสิทธิ์ไป รถของกลางย่อมตกเป็นของแผ่นดินตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๔๖๙ มาตรา๒๔ ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๑๒) พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓ แล้ว อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ ๘๑๖/๒๕๐๔ สนับสนุนด้วยนั้น รูปเรื่องในคดีนี้จะปรับด้วยบทกฎหมายและคำพิพากษาฎีกาที่โจทก์กล่าวอ้างหาได้ไม่ เพราะรถคันนี้เป็นของจำเลยในคดี ตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาให้ริบก็ยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยตลอดมา และเมื่อฟังว่าผู้ร้องรับซื้อไว้โดยสุจริตเช่นกัน กรณีก็เป็นไปไม่ได้อีกที่จะให้มีการร้องขอคืนของกลางตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างอิง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share