คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 737-738/2506

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 ไม่ได้บัญญัติให้สิทธิหรืออำนาจแก่โต๊ะอิหม่ามฟ้องคดีแทนมัสยิดได้โดยลำพังแล้วโจทก์ซึ่งเป็นโต๊ะอิหม่ามจึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของมัสยิดโดยลำพังได้แต่อย่างใด
การที่ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 บัญญัติให้ผู้ครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองนั้น เป็นเรื่องที่รัฐประสงค์จะทราบว่าผู้ใดมีสิทธิในที่ดินนั้น ๆ มิใช่ว่าถ้าไม่แจ้งแล้วผู้ครอบครองที่ดินจะเสียไปซึ่งสิทธิครอบครองที่ดินนั้นด้วย.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้พิจารณาพิพากษารวมกันโจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องมีใจความว่าจำเลยบุกรุกแย่งกรรมสิทธิ์ที่ดินสุเหร่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปและห้ามเข้าเกี่ยวข้องต่อไป
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาเห็ฯว่า ฟ้องของนายเหลดโจทก์ที่ฟ้องนายเรนเป็นจำเลยนั้น ได้กล่าวบรรยายในฟ้องว่า โจทก์เป็นโต๊ะอิหม่ามซึ่งเป็นหัวหน้าของคณะในทางศาสนาอิสลาม สุเหร่าที่พิพาทกันนี้ได้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว ซึ่งศาลฎีกาได้พิเคราะห์พระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.๒๔๙๐ แล้ว ไม่มีมาตราใดให้สิทธิหรืออำนาจแก่โต๊ะอิหม่ามฟ้องคดีแทนมัสยิดได้โดยลำพังดังนั้น นายเหลดมาเป็นโจทก์ฟ้องนายเรนจำเลยโดยที่นายเหลดมีฐานะเป็นโต๊ะอิหม่ามเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยลำพัง จึงยังไม่มีอำนาจ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า สุเหร่าไม่ได้แจ้งการครอบครองที่พิพาท ถือได้ว่าได้สละสิทธิการครอบครองจึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่า ที่ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.๒๔๙๗ บัญญัติให้ผู้ครอบครองที่ดินแจ้งการครอบครองไว้นั้น เป็นเรื่องที่รัฐประสงค์ที่จะทราบว่าผู้ใดมีสิทธิครอบครองที่ดินนั้นๆ ไม่ใช่ว่าถ้าไม่ได้แจ้งการครอบครองแล้ว ผู้ครอบครองที่ดินนั้นจะเสียไปซึ่งสิทธิครอบครองของเขา ฎีกาจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนในสำนวนที่นายนี ขุนพยูนมุขมานิตเป็นจำเลย และพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ในสำนวนที่นายเรน นายเลิศ เป็นจำเลย.

Share