แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอหย่าและแบ่งสินสมรสจากจำเลย คดีได้ความว่า โจทก์จำเลยได้หย่าขาด และแบ่งทรัพย์กันแล้ว แต่กลับคืนดีกันอีก โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ทรัพย์ที่ฟ้องคือทรัพย์ที่หามาได้ด้วยกันในตอนหลังนี้ ไม่เป็นสินสมรส
โจทก์ฟ้องขอแบ่งทรัพย์ในฐานเป็นสินสมรส เมื่อศาลไม่ฟังว่าเป็นสินสมรส แต่ศาลเห็นว่าเป็นทรัพย์ที่บุคคลสองคนร่วมกันหาได้มา บุคคลทั้งสองจะมีฐานะเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายหรือไม่ ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เป็นเจ้าของร่วมกันอยู่นั่นเอง ศาลย่อมแบ่งให้ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยหย่าขาดจากสามีภรรยากับโจทก์ และให้จำเลยแบ่งสินสมรสให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง 5,625 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์จำเลยได้ทำหนังสือหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยากันได้จดทะเบียนต่อเจ้าพนักงาน และได้แบ่งทรัพย์สินกันไปเสร็จแล้ว แม้ภายหลังจะได้มาอยู่กินร่วมกัน ก็หาก่อให้เกิดฐานะเป็นสามีภรรยากันไม่ ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์จำเลยได้หย่าขาดจากสามีภรรยากัน และได้แบ่งทรัพย์กันไปแล้ว แม้ภายหลังจะกลับคืนดี แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจึงไม่เป็นสามีภรรยาตามกฎหมายทรัพย์ที่โจทก์จำเลยลงทุนลงแรงทำมาหาได้ด้วยกัน จึงเป็นเจ้าของร่วมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์ที่ฟังว่าเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกันให้โจทก์กึ่งหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องขอแบ่งในฐานะเป็นสินสมรส เมื่อศาลไม่ฟังว่าเป็นสินสมรส ก็ควรยกฟ้องนั้นศาลฎีกาเห็นว่า การฟ้องขอแบ่งทรัพย์แม้จะเรียกชื่อทรัพย์นั้นโดยไม่ถูกต้องกับถ้อยคำของกฎหมายไปจะให้ถือเป็นเหตุยกฟ้องเสียทีเดียวนั้น ไม่ชอบ เพราะทรัพย์ที่บุคคลสองคนร่วมกันหาได้มาบุคคลทั้งสองนั้นจะมีฐานะเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายหรือไม่ก็อยู่ในเกณฑ์เป็นเจ้าของร่วมกันนั่นเอง ส่วนข้อเท็จจริงคงฟังได้เช่นเดียวกับศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน