แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งรายงานว่าจำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งแม้จะไม่ปรากฏชัดว่าอธิบดีโจทก์ลงนามรับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อใด แต่โจทก์ได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดให้แน่นอนดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์รู้ว่าจำเลยเป็นผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทนในช่วงเวลาก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ออกคำสั่งคือวันที่ 31พฤษภาคม 2525 และการที่โจทก์มีคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่เหตุที่จะอ้างว่ายังไม่รู้ตัวผู้รับผิด มิฉะนั้นอายุความ 1 ปีที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะขยายออกไปแล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ โจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2527 พ้นกำหนดเวลา 1 ปี คดีโจทก์จึงขาดอายุความ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินจำนวน 102,250.06บาท ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า คดีของโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยชดใช้เงิน 102,250.06 บาทพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงิน 80,435.56 บาทนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยและโจทก์ว่าเงินที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยเป็นเงินบำรุงการศึกษาและเงินบริจาคให้แก่โรงเรียนสายปัญญาอันเป็นเงินของโจทก์หรือไม่ คดีของโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และศาลอุทธรณ์หักเงินจำนวน 21,814.50 บาท ออกจากจำนวนเงินที่จำเลยต้องรับผิดชอบหรือไม่ ศาลฎีกาจะได้วินิจฉัยฎีกาของจำเลยก่อนและเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาเรื่องอายุความเป็นประเด็นแรก ประเด็นนี้โจทก์นำสืบว่าคดีของโจทก์ไม่ขาดอายุความ เพราะนายเอกวิทย์ ณ ถลางอธิบดีกรมสามัญศึกษารับทราบผลการสอบสวนหาผู้รับผิดในทางแพ่งวันที่ 28 มีนาคม 2526 โจทก์ฟ้องคดีวันที่ 6 มีนาคม 2527 คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความนั้น โจทก์นำสืบประเด็นข้อนี้โดยมีนายทรงชัยสายหงษ์ และนายมานพ แสงทวี ซึ่งมีตำแหน่งเป็นนิติกรของโจทก์เบิกความเป็นพยานความว่ามูลเหตุแห่งคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อมีผู้ร้องเรียนว่าจำเลยใช้เงินของโรงเรียนสายปัญญาไปในทางที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ โจทก์สืบสวนข้อเท็จจริงแล้วปรากฏว่ามีมูลโจทก์จึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้น คณะกรรมการสอบสวนแล้วเห็นว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบ แต่ไม่แน่ชัดว่าทุจริตต่อราชการ โจทก์ได้รายงานทางวินัยให้คณะกรรมการครูทราบแล้ว คณะกรรมการครูเห็นสมควรลงโทษลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น ซึ่งโจทก์โดยนายเอกวิทย์ ณ ถลางได้สั่งลงโทษจำเลยแล้ว ตามคำสั่งกรมสามัญศึกษาที่ 716/2526ลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2526 โจทก์จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง โดยนายทรงชัยได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการคนหนึ่งด้วย คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานการสอบสวนต่อโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.18 สรุปผลการสอบสวนให้จำเลยต้องรับผิดในทางแพ่งมียอดเงินจำนวน 50,000 บาทเศษ แต่ไม่มีรายละเอียดบ่งบอกว่าได้จ่ายรายการอะไรไปบ้าง โจทก์จึงสั่งให้คณะกรรมการทำการสอบสวนเรื่องนี้เพิ่มเติม เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนเพิ่มเติมแล้วได้รายงานต่อโจทก์ ตามเอกสารหมาย จ.19 โดยผ่านกองการเจ้าหน้าที่นายมานพพยานโจทก์ซึ่งเป็นนิติกรได้สรุปความเห็นเสนอต่ออธิบดีโจทก์ตามเอกสารหมาย จ.20 อธิบดีโจทก์ทราบผลสรุปเมื่อวันที่28 มีนาคม 2526 ศาลฎีกาได้พิเคราะห์คำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากประกอบกับเอกสารหมาย จ.19 ซึ่งมีข้อความตอนต้นเป็นใจความว่า ที่โจทก์ได้มีคำสั่งที่ ศธ. 0802/901 ลงวันที่ 31พฤษภาคม 2525 ให้คณะกรรมการสอบสวนสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นว่าเงินกำไรจากการขายสมุด ขนม และน้ำหวาน ซึ่งจำเลยนำส่งเข้าเป็นเงินสวัสดิการครูโรงเรียนสายปัญญา รวมทั้งสิ้น 143,628 บาท และทางโรงเรียนได้นำไปใช้จ่ายในกิจการโรงเรียน เป็นเงิน 57,483 บาทนั้น เป็นรายการที่สามารถเบิกจ่ายจากเงินบำรุงการศึกษาได้เพียงใดคณะกรรมการสอบสวนได้ทำการสอบสวนเพิ่มเติมแล้วได้รายงานผลต่อโจทก์เห็นว่า การที่โจทก์ได้มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมในประเด็นดังกล่าวให้ชัดเจน แสดงว่าโจทก์ได้ทราบรายงานผลการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งตามเอกสารหมาย จ.18 ฉบับลงวันที่ 4 มกราคม 2525 แล้วว่าจำเลยเป็นผู้พึงใช้ค่าสินไหมทดแทนแม้จะไม่ปรากฏความแน่ชัดว่าอธิบดีโจทก์ได้ลงนามรับทราบรายงานดังกล่าวเมื่อใดก็ฟังได้ว่าต้องเป็นช่วงเวลาก่อนหรืออย่างช้าที่สุดในวันที่ออกคำสั่งที่ ศธ. 0802/901 คือวันที่ 31 พฤษภาคม 2525นั้นเอง การที่โจทก์มีคำสั่งให้คณะกรรมการสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องรับผิดให้แน่นอนนั้นไม่ใช่เหตุที่จะอ้างว่ายังไม่รู้ตัวผู้รับผิด มิฉะนั้นอายุความ 1 ปีที่กฎหมายกำหนดไว้ก็จะขยายออกไปเรื่อย ๆ แล้วแต่ความล่าช้าในการดำเนินการของโจทก์ ดังนั้นเมื่อนับจากวันที่ 31 พฤษภาคม 2525ถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้คือวันที่ 6 มีนาคม 2527 จึงพ้นกำหนดเวลา1 ปีแล้วคดีของโจทก์ขาดอายุความ โจทก์ฟ้องจำเลยไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยข้ออื่นและฎีกาของโจทก์ต่อไป…”
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.