คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4610/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของ ป. และ จ. ฟ้องจำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวาซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ ป. และ จ. อ้างว่าจำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ชั่วคราว ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว การออกโฉนดที่ดินแปลงพิพาทดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ จำเลยขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยให้จำเลย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และเพิกถอนโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินของจำเลย เมื่อตามคำฟ้องแย้งคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ และศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาทปรากฎว่าคู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่าที่ดินที่จำเลยอ้างว่าจำเลยครอบครองอยู่และโจทก์ออกโฉนดที่ดินทับที่ดินของจำเลยนั้นมีจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16ตารางวา เจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดินพิพาทราคาไร่ละ60,000 บาท และศาลชั้นต้นกำหนดราคาตามที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเป็นราคาทรัพย์สินที่พิพาท ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาททั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงมีราคาจำนวนละ 107,400 บาทไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาโดยมิได้พิพากษาในส่วนฟ้องแย้งโดยให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ตามศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายเปรมและนางแจ๋ว สอทิพย์ ตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 เป็นทรัพย์สินในกองมรดกของนายเปรมและนางแจ๋ว จำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ชั่วคราวในที่ดินแปลงดังกล่าวแต่ต่อมาทายาทกองมรดกของนายเปรม และนางแจ๋วไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่ดินอีกต่อไป โจทก์จึงบอกให้จำเลยพร้อมบริวารออกไปเสียจากที่ดิน แต่จำเลยเพิกเฉยเสีย ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกไปจากที่ดิน และห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่ดินอีกต่อไป
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมนายช้างไม่ทราบนามสกุลครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 93ตารางวา เมื่อประมาณ 50 ปี มาแล้ว นายช้างยกที่ดินส่วนหนึ่งเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่ ให้แก่นายเที่ยงและนางวาดซึ่งเป็นบิดามารดาของจำเลยโดยมิได้ทำเป็นหนังสือหรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ นายเที่ยงกับนางวาดเข้าครอบครองและปลูกบ้านลงบนที่ดินส่วนดังกล่าวโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นระยะเวลานานเกินกว่า 1 ปี จึงได้สิทธิครอบครองในที่ดิน นายเที่ยงกับนางวาดถึงแก่ความตายไปเป็นเวลาประมาณ 20 ปีแล้ว ก่อนถึงแก่ความตายได้ยกที่ดินดังกล่าวให้จำเลยซึ่งเป็นบุตรโดยมิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยเข้าครอบครองที่ดินและให้บุตรของจำเลยเข้าปลูกบ้านบนที่ดินเพิ่มเติมอีก 3 หลังซึ่งเป็นการครอบครองโดยความสงบและโดยเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาเกินกว่า 10 ปี ในเดือนสิงหาคม 2535 มีเจ้าพนักงานที่ดินนำหลักโฉนดมาปักตามมุมเขตที่ดินจำเลยจึงมาตรวจดูที่สำนักงานที่ดินจังหวัดราชบุรี สาขาบ้านโป่งพบว่าที่ดินที่จำเลยครอบครองได้มีการออกหนังสือสำคัญเป็นน.ส. 3 เลขที่ 1 และต่อมาได้ขอออกเป็นโฉนดที่ดินรวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในโฉนดดังกล่าวซึ่งเป็นการออกโฉนดโดยมิชอบ จำเลยได้รับความเสียหายจำเลยเคยขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยออกมาให้จำเลย แต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้ยกฟ้องและห้ามโจทก์เกี่ยวข้องกับที่ดินของจำเลย ให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครอง และขอให้เพิกถอนโฉนดเลขที่ 14613 เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินที่จำเลยครอบครอง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า นายเปรม บิดาโจทก์ซื้อที่ดินมาจากนายบุญชัย เจริญผล ซึ่งขณะนั้นที่ดินมีหลักฐานเป็น น.ส.3 เลขที่ 1 หมู่ที่ 2 ตำบลเบิกไพร อำเภอบ้านโป่งจังหวัดราชบุรี เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน นายเปรมเข้าทำประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเอง ต่อมาขอออกโฉนดที่ดินแต่เมื่อรังวัดแล้วได้เนื้อที่ดินเพียง 3 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา จึงออกโฉนดตามเนื้อที่ดินจำนวนดังกล่าวจำเลยไม่เคยโต้แย้งคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดิน เมื่อนายเปรมถึงแก่ความตายที่ดินตกเป็นทรัพย์มรดกโดยมีนางแจ๋ว สอทิพย์ ผู้จัดการมรดก เมื่อนางแจ๋วถึงแก่ความตาย โจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการมรดกของนายเปรมกับนางแจ๋วจำเลยขออาศัยและทำสัญญาเช่าที่ดินจากนายเปรมและนางแจ๋ว จำเลยเพิ่งจะปลูกบ้านในที่ดินได้เพียง 4 ปีเศษ ส่วนบุตรของจำเลยปลูกบ้านพักอยู่อาศัยได้เพียง 3 ปีเศษ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารของจำเลยออกไปจากที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 14613 เนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวาภายในกรอบเส้นสีน้ำเงินแดงตามแผนที่พิพาทเอกสารหมาย ล.3 และห้ามจำเลยและบริวารเข้ามาเกี่ยวข้องกับที่พิพาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกของนายเปรมและนางแจ๋ว สอทิพย์ ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 14613 เนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 93 ตารางวา ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายเปรมและนางแจ๋วอ้างว่าจำเลยขออาศัยปลูกบ้านอยู่ชั่วคราว ต่อมาทายาทในกองมรดกของนายเปรมและนางแจ๋วไม่ประสงค์จะให้จำเลยอยู่ในที่ดินต่อไป ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าว จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าเดิมนายช้างครอบครองที่ดินมือเปล่าเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน93 ตารางวา นายช้างยกที่ดินส่วนหนึ่งให้แก่นายเที่ยงและนางวาดบิดามารดาจำเลยเมื่อประมาณ 50 ปี มาแล้ว นายเที่ยงและนางวาดถึงแก่ความตายประมาณ 20 ปี มาแล้ว ก่อนตายนายเที่ยงและนางวาดยกที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยได้ครอบครองที่ดินดังกล่าวและให้บุตรปลูกบ้านในที่ดินพิพาทอีก3 หลัง จำเลยครอบครองที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของกว่า 10 ปีแล้ว การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวกระทำโดยมิชอบ จำเลยขอให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินส่วนที่เป็นของจำเลยให้จำเลย แต่โจทก์เพิกเฉย ขอให้พิพากษาว่าที่ดินภายในเส้นสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลย และเพิกถอนโฉนดที่ดินเฉพาะส่วนที่ออกทับที่ดินของจำเลย ตามคำฟ้องแย้งและคำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์อันเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ซึ่งศาลชั้นต้นให้เจ้าพนักงานที่ดินทำแผนที่พิพาท ปรากฎว่าคู่ความแถลงรับกันตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้น ฉบับลงวันที่ 24 สิงหาคม 2537ว่าที่ดินที่จำเลยอ้างว่าจำเลยครอบครองอยู่และโจทก์ออกโฉนดที่ดินของจำเลยนั้นมีจำนวนเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวาเจ้าพนักงานที่ดินประเมินราคาที่ดินพิพาทราคาไร่ละ 60,000 บาทหรือตารางวาละ 150 บาท และศาลชั้นต้นกำหนดราคาตามที่เจ้าพนักงานที่ดินประเมินเป็นราคาทรัพย์ที่พิพาท ที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 1 ไร่ 3 งาน 16 ตารางวา ดังนั้นราคาทรัพย์สินที่พิพาททั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจึงมีราคาจำนวนละ 107,400 บาทไม่เกิน 200,000 บาท คดีจึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง ฎีกาของจำเลยล้วนแต่เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยมานั้นเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย แต่ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายืนกันมาโดยมิได้พิพากษาให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยด้วยนั้น เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
อนึ่ง คดีนี้มีทุนทรัพย์จำนวน 107,400 บาท ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นเงิน 2,685 บาท โจทก์และจำเลยเสียค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและจำเลยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในจำนวนทุนทรัพย์ 223,950บาท เกินกว่าที่จะต้องเสียจึงให้คืนขึ้นศาลส่วนที่โจทก์และจำเลยเสียเกินมาในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ให้แก่โจทก์และจำเลย
พิพากษายกฎีกาจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาทั้งหมดให้แก่จำเลยและให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่โจทก์เสียเกินมาในศาลชั้นต้นให้โจทก์ และคืนค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นและในชั้นอุทธรณ์ที่จำเลยเสียเกินมาให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมอื่นชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ

Share