แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ 1 ที่มีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันจนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดย สิ้นเชิงจะครบกำหนดวันที่ 2 เมษายน 2534 แม้จำเลยที่ 2 บอกเลิกสัญญาค้ำประกันในวันดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่า มีการหักทอนบัญชีและชำระหนี้คงเหลือให้เสร็จสิ้นไป ยังคงเดินสะพัดทางบัญชีกันอยู่ การบอกเลิกสัญญาค้ำประกันของจำเลยที่ 2 แต่ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีผล ดังนั้น สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงยังมีผลผูกพันกันอยู่และกลายเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ 1 อยู่ตราบใด จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจหลุดพ้นจากหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๔,๘๘๑,๒๕๖.๑๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๔,๗๓๔,๔๖๕.๒๘ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้บังคับจำนองยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากยังขาดเงินอยู่อีกเท่าใดให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๒ ได้ค้ำประกันและจำนองทรัพย์เป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ โดยเป็น การค้ำประกันและจำนองที่มีกำหนดเวลาครบกำหนดในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๔ ในวงเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อมาเมื่อปี ๒๕๓๔ จำเลยที่ ๒ ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่าไม่ประสงค์จะค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ต่อไป ขอบอกเลิกการ ค้ำประกันและจำนอง ให้โจทก์รีบฟ้องจำเลยทั้งสอง แต่โจทก์ไม่ฟ้องคดีและยังยินยอมให้จำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีเกินวงเงินไปจากที่ตกลงไว้ในสัญญาโดยจำเลยที่ ๒ มิได้ยินยอมด้วย ดังนั้นจำเลยที่ ๒ จึงต้องรับผิดเพียง ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาค้ำประกันและจำนองเท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๓,๙๘๕,๕๒๖.๗๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินดังกล่าว แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองคือที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕ เลขที่ ๔๔๖ และเลขที่ ๑๙๖๕๗ ถึงเลขที่ ๑๙๖๖๓ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ แก่โจทก์ ถ้าไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วนตามสัญญา กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๒๐,๐๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นอุทธรณ์ ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๐ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเบิกเงิน เกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๔ ต่อปี ต่อมาวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๓ จำเลยที่ ๑ ได้ตกลงทำสัญญาเพิ่มวงเงินเบิกเงินเกินบัญชีครั้งที่ ๑ กับโจทก์อีก ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี ในการนี้จำเลยที่ ๒ ผูกพันตนเป็นผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท โดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๖ และเลขที่ ๑๙๖๕๗ ถึงเลขที่ ๑๙๖๖๓ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี รวม ๘ แปลง พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๒,๓๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี และนำที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๔๕ ตำบลนาเกลือ อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรีพร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองเพื่อเป็นประกันหนี้ของจำเลยที่ ๑ ในวงเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๑๖.๕ ต่อปี มีข้อตกลงว่าหากบังคับจำนองขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินไม่พอชำระหนี้ ยินยอมให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ ๒ ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบถ้วน
คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในหนี้เพียงใด จำเลยที่ ๒ ฎีกาว่า จำเลยที่ ๒ ได้บอกเลิกสัญญา ค้ำประกันเมื่อสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครบกำหนดในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๒ รับผิดไม่เกินวงเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี เพราะการค้ำประกันและจำนองของจำเลยที่ ๒ เป็นการค้ำประกันและจำนองใน หนี้รายเดียวนั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีของจำเลยที่ ๑ ตามสัญญาฉบับลงวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๐ และสัญญาฉบับลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๓๓ จำนวนเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท รวมทั้งดอกเบี้ยค่าสินไหมทดแทน ตลอดจนค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้รายนี้ จนกว่าโจทก์จะได้รับชำระหนี้โดยสิ้นเชิง สัญญาเบิกเงิน เกินบัญชีครบกำหนดวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๔ แต่ไม่ปรากฏว่าได้มีการหักทอนบัญชีและชำระหนี้คงเหลือให้เสร็จสิ้นไปและยังคงเดินสะพัดทางบัญชีกันอยู่ สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีอันมีลักษณะเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์และจำเลยที่ ๑ จึงยังมีผลผูกพันอยู่และกลายเป็นสัญญาที่ไม่มีกำหนดระยะเวลา เมื่อโจทก์ยังมิได้รับชำระหนี้จากจำเลยที่ ๑ อยู่ตราบใด จำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันก็ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากหนี้ในฐานะผู้ค้ำประกันได้ การบอกเลิกสัญญา ค้ำประกันของจำเลยที่ ๒ แต่ฝ่ายเดียวย่อมไม่มีผล จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดในหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระอยู่ ตามสัญญาค้ำประกัน มิใช่รับผิดไม่เกินวงเงิน ๓,๒๐๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี ฎีกาจำเลยที่ ๒ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา ๒,๐๐๐ บาท แทนโจทก์.