แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็มีทางดำเนินคดีต่อไปได้เพียงประการเดียวคือ อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงแก้ไขหากเข้ากรณีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 วรรคสอง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาตามยอมย่อมถึงที่สุด ไม่อาจถูกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีก การที่โจทก์อ้างว่าคำพิพากษาตามยอมตกเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาทั้งหมดแล้วยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่นั้น ความมุ่งหมายของโจทก์คือต้องการให้คำพิพากษาตามยอมเสียเปล่าใช้บังคับไม่ได้ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมซึ่งต้องกระทำโดยศาลสูง โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาของศาลนั้นเองไม่ได้ แม้โจทก์จะเพิ่งทราบเหตุที่ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความภายหลังพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ก็ไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาให้การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคนแต่เพียงผู้เดียวเนื่องจากโจทก์ทราบภายหลังว่าขณะโจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกันนั้น จำเลยได้จดทะเบียนสมรสกับนายวิสุทธิ์ มาก่อนและยังมิได้หย่าขาดจากกัน ระหว่างพิจารณาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2551
โจทก์ยื่นคำร้องลงวันที่ 24 มิถุนายน 2556 ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความพิพาท ข้อ 1 ระบุว่า โจทก์และจำเลยตกลงไม่ติดใจในการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่งในอดีตที่ผ่านมาอันเกี่ยวเนื่องที่ต้องบังคับตามกฎหมายครอบครัวและจะไม่ยกเอาการกระทำในอดีตดังกล่าวมาเป็นเหตุฟ้องหย่าอีกฝ่ายหนึ่ง นั้น เป็นคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความที่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมหรือเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน อันเป็นการดำเนินการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ขอศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบดังกล่าวกับเพิกถอนสัญญาประนีประยอมยอมความพิพาทและพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นโมฆะ
จำเลยยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องไต่สวนพยานให้งดการไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า เห็นว่า โจทก์ฎีกาว่า สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะต้องมาจากข้ออ้างในคำฟ้องของโจทก์ซึ่งประเด็นข้อพิพาทในคดีนี้มีว่า การสมรสซ้อนหรือไม่ และใครจะใช้อำนาจปกครองบุตร การที่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นเป็นการทำสัญญาประนีประนอมกันไม่เกี่ยวกับขอบเขตแห่งประเด็นหรือเกี่ยวเนื่องในคดี เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน และเป็นการพิจารณาพิพากษาเกินคำขอที่ปรากฏอยู่ในคำฟ้องนั้น เห็นว่า โจทก์และจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อหน้าศาลและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว คำพิพากษาย่อมผูกพันคู่ความ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็มีทางดำเนินคดีต่อไปได้เพียงประการเดียวคือ อุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงแก้ไขหากเข้ากรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 วรรคสอง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ คำพิพากษาตามยอมย่อมถึงที่สุด ไม่อาจถูกเพิกถอนหรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้อีก การที่โจทก์อ้างว่าคำพิพากษาตามยอมตกเป็นโมฆะเพราะขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนและไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ดำเนินมาทั้งหมดแล้วยกคดีขึ้นพิจารณาใหม่นั้น ความมุ่งหมายของโจทก์คือต้องการให้คำพิพากษาตามยอมเสียเปล่าใช้บังคับไม่ได้ ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับการขอให้เพิกถอนคำพิพากษาตามยอมซึ่งต้องกระทำโดยศาลสูง โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งเพิกถอนคำพิพากษาของศาลนั้นเองไม่ได้ แม้โจทก์จะเพิ่งทราบเหตุที่ขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความหลังพ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ก็ไม่มีกฎหมายรับรองให้ทำได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของโจทก์โดยไม่ได้ไต่สวนนั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ