คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1167/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครอง ฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครอง และฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาต ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบกับพระราชบัญญัติให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัดพ.ศ. 2520 มาตรา 3 แม้ผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ก็ตาม จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหาดังกล่าว แต่เมื่อศาลฎีกาวินิจฉัยข้อหาความผิดฐานมีภาชนะเครื่องต้มกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครองและฐานทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับอนุญาตซึ่งจำเลยมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้แล้วเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครองฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครอง และฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาตได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเกี่ยวพันกัน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกได้ร่วมกันมีภาชนะเครื่องกลั่นสำหรับทำสุรา และจำเลยได้ทำสุรากลั่น ทำสุราแช่ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และมีสุราดังกล่าวไว้ในครอบครอง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5, 30, 32, 45 พระราชบัญญัติสุรา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 มาตรา 4, 6 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83,91 ริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5, 30, 32, 45พระราชบัญญัติ สุรา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2497 มาตรา 4, 6ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 เรียงกระทงลงโทษ ฐานมีภาชนะเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครอง จำคุก 1 เดือน ฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครองปรับ 300 บาท ฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครองปรับ 300 บาท ฐานทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 เดือนฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาต ปรับ 200 บาท รวมจำคุก 2 เดือนและปรับ 800 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน ของกลางริบจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาโดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “สำหรับความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครองฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครองและฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยแต่ละกระทงไม่เกินห้าร้อยบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ประกอบกับพระราชบัญญัติ ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ. 2520 มาตรา 3 จำเลยอุทธรณ์ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังลงโทษจำเลยได้ เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และจำเลยไม่มีสิทธิฎีกาในข้อหาดังกล่าวอีกแม้จะมีผู้พิพากษาที่ลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม คงมีปัญหาในชั้นนี้ว่าจำเลยกระทำความผิดฐานมีภาชนะเครื่องกลั่นสำหรับทำสุราไว้ในครอบครองและฐานทำสุรากลั่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ พิเคราะห์แล้ว คดีนี้โจทก์มีนายอุกฤษณ์สันป่าแก้ว สิบตำรวจเอกมนูญ วงษ์ประทานชัย และสิบตำรวจโทปรีชา ปราบหงษ์ เป็นประจักษ์พยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า หลังจากได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยกับภรรยาจะต้มสุราเถื่อนในคืนนั้นแล้ว พยานทั้งสามจึงวางแผนจับกุมจำเลย ต่อมาเวลาประมาณ 20 นาฬิกา พยานทั้งสามกับพวกซึ่งเป็นลูกจ้างโรงเหล้าอีก4 คน ได้พากันขึ้นรถยนต์ไปเพื่อจับกุมจำเลย โดยไปจอดรถห่างบ้านจำเลยประมาณ 500 เมตร แล้วเดินไปทางด้านหลังบ้านจำเลย ขณะเดินลัดป่าไปห่างจากสถานที่ที่สายลับแจ้งไว้ประมาณ 100 เมตร ก็เห็นแสงไฟ จึงพากันเดินโอบล้อมบริเวณที่มีแสงไฟนั้น เมื่อเข้าไปถึงพยานทั้งสามแอบดูอยู่ที่กอกล้วย เห็นจำเลยซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ3 เมตร กำลังเอาฟืนใส่ในเตาซึ่งขุดลงไปในดิน บนเตาดังกล่าวมีถังเหล็กตั้งอยู่กับมีหม้อดินบนหม้อดินมีกระทะเหล็กที่ใช้ทำความเย็นซึ่งเป็นการต้มสุราเถื่อนและเห็นนางเรียนภรรยาจำเลยช่วยจำเลยอยู่ด้วย พยานทั้งสามแอบชุ่มดู ประมาณ 5 นาที เห็นนางเรียนจะออกไปตักน้ำข้างนอก เกรงว่าจะไปพบพวกของพยานจึงรีบเข้าไปจับกุมโดยนายอุกฤษณ์เข้าไปหานางเรียนแต่นางเรียนวิ่งหนีเข้าป่าไป นายอุกฤษณ์สะดุดก้อนหินล้มลงจึงตามจับไม่ได้ส่วนสิบตำรวจเอกมนูญเข้าไปจับจำเลยแต่จำเลยสะบัดตัวหลุดไปได้และวิ่งหนีเข้าไปในบ้านของจำเลยซึ่งอยู่ห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ200 เมตร สิบตำรวจเอกมนูญและสิบตำรวจโทปรีชาไม่กล้าตามเข้าไปในบ้านจำเลยหลังจากนั้นพยานทั้งสามกับพวกจึงนำภาชนะสำหรับต้มกลั่นสุรา สุรากลั่นและสุราแช่ของกลางส่งร้อยตำรวจตรีพลายแก้ว เล้าเฮง พนักงานสอบสวนศาลฎีกาเห็นว่า แม้พยานโจทก์ทั้งสามจะเบิกความในทำนองเดียวกันก็ตามแต่พยานหลักฐานของโจทก์ยังมีข้อน่าสงสัยหลายประการ คือ ได้ความจากสิบตำรวจเอกมนูญและสิบตำรวจโทปรีชาว่า พยานทั้งสองรู้จักจำเลยมาก่อนเกิดเหตุและทราบว่าจำเลยต้มสุราเถื่อนเป็นประจำ เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุก็พบจำเลยและนางเรียนกำลังต้มสุราเถื่อนอยู่ โดยมีของกลางอันเป็นหลักฐานการกระทำผิดอยู่พร้อม และจำเลยกับนางเรียนก็ไม่รู้ตัวแต่พยานโจทก์ทั้งสามกลับซุ่มดูอยู่ประมาณ 5 นาที จนกระทั่งนางเรียนกำลังจะออกไปตักน้ำจึงเข้าทำการจับกุม ไม่ปรากฏว่าเหตุใดจึงไม่เข้าทำการจับกุมในทันที ทั้งยังได้ความว่า พยานทั้งสามซุ่มดูอยู่ห่างจำเลยเพียงประมาณ 3 เมตร แต่ก็จับกุมจำเลยกับนางเรียนไม่ได้ ดังนี้ พฤติการณ์ในการจับกุมจำเลยดังกล่าวจึงมีข้อชวนให้สงสัย นอกจากนี้ปรากฏในบันทึกคำร้องทุกข์หรือคำกล่าวโทษของนายอุกฤษณ์ เอกสารหมาย จ.3 ระบุว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ20.30 นาฬิกา นายอุกฤษณ์กับพวกได้ร่วมกันตรวจจับกุมผู้ลักลอบกระทำผิดพระราชบัญญัติสุราฯ ในเขตท้องที่บ้านวังกวางและได้รับแจ้งจากสายสืบว่าที่ใกล้บ้านนายเกียน นางเรียน (ไม่ทราบนามสกุล) มีการลักลอบต้มสุรา เมื่อไปถึงพบชายหญิง 2 คน กำลังช่วยกันต้มสุราอยู่จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่และเข้าทำการจับกุมแต่คนทั้งสองหลบหนีไปได้เมื่อตรวจดูบริเวณที่เกิดเหตุก็พบของกลางในคดีนี้จึงยึดไว้เพื่อดำเนินคดี ดังนี้ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในบันทึกดังกล่าวจึงแตกต่างจากคำของพยานโจทก์ทั้งสาม เนื่องจากตามบันทึกนั้นได้ความเพียงว่า มีชายหญิง 2 คน ลักลอบต้มกลั่นสุราใกล้บ้านจำเลยเท่านั้นไม่ได้ระบุว่าจำเลยกับนางเรียนภรรยาเป็นผู้ลักลอบทำสุรา ทั้งไม่มีการแอบซุ่มดูก่อนทำการจับกุมดังที่พยานโจทก์เบิกความแต่อย่างใดสำหรับการจับกุมจำเลยมาดำเนินคดีนี้นั้น ได้ความจากร้อยตำรวจตรีพลายแก้ว เล้าเฮง พนักงานสอบสวนพยานโจทก์ว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 22 นาฬิกา นายอุกฤษณ์นำของกลางไปมอบให้และแจ้งความว่าจำเลยกับนางเรียนกระทำความผิดฐานต้มกลั่นสุราผิดกฎหมาย และจำเลยยิงปืนพยายามฆ่าเจ้าพนักงานด้วย วันรุ่งขึ้นร้อยตำรวจตรีพลายแก้วได้ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและทำบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุและแผนที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.4 ตามลำดับซึ่งในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวก็ระบุชื่อจำเลยเป็นคนร้ายไว้ด้วยแสดงว่าพนักงานสอบสวนทราบชื่อคนร้ายคดีนี้ตั้งแต่วันเกิดเหตุแล้วทั้งหมายจับจำเลยเอกสารหมาย จ.7 ระบุข้อหาความผิดของจำเลยว่าร่วมกันมีภาชนะเครื่องต้มกลั่นสุรา ทำและมีสุรากลั่น ทำและมีสุราแช่ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พยายามฆ่าและดูหมิ่นเจ้าพนักงานในการปฏิบัติงานตามหน้าที่ ซึ่งนับว่าเป็นข้อหาอุกฉกรรจ์แต่ปรากฏว่าหมายจับจำเลยออกเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2529 หลังเกิดเหตุคดีนี้ถึง 3 เดือน โดยได้ความจากร้อยตำรวจตรีพลายแก้วเพียงว่าเหตุที่มีการออกหมายจับล่าช้าเพราะรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับคดีนี้ช้าไปซึ่งเป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุผล นอกจากนี้ หลังจากออกหมายจับแล้วเป็นเวลา 1 เดือนเศษจึงมีการจับกุมตัวจำเลยทั้ง ๆ ที่ได้ความจากสิบตำรวจเอกมนูญและนายอุกฤษณ์ว่า หลังจากวันเกิดเหตุจำเลยก็ไปทำงานที่โรงพยาบาลอำเภอวังชิ้นตามปกติไม่ได้หลบหนีไปไหน ศาลฎีกาเห็นว่า คำของพยานโจทก์ทั้งสามปากที่อ้างว่าเห็นจำเลยกับนางเรียนต้มกลั่นสุราเถื่อนในคืนเกิดเหตุนั้นเมื่อพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ ของโจทก์ดังได้วินิจฉัยมาแล้วยังมีข้อน่าสงสัยตามสมควร จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา227 วรรคสอง กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยพยานจำเลยอีกต่อไป และเมื่อพยานหลักฐานของโจทก์ในคดีนี้ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดฐานมีสุรากลั่นไว้ในครอบครอง ฐานมีสุราแช่ไว้ในครอบครอง และฐานทำสุราแช่โดยไม่ได้รับอนุญาต ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 185 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ แต่ของกลางให้ริบ

Share