แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะผู้รับขนส่งข้าวสารจากองค์การคลังสินค้าไปลงเรือที่อ่าวไทย เพราะเรือที่จำเลยที่ 1 ใช้ บรรทุกข้าวสารชนกับเรือของจำเลยที่ 2 จนจมลงและข้าวสารเสียหายโดยโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่องค์การคลังสินค้าผู้เอาประกันภัยแล้ว จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ 1 รับจ้างขนส่งข้าวสารก็ได้ว่าจ้างจำเลยร่วมทำการขนส่งช่วงและข้าวสารสูญหายเพราะเรือชนกันเป็นความประมาทของเรือของจำเลยที่ 2 ประเด็นพิพาทจึงมีเพียงว่าเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ ดังนั้นแม้จะฟังว่าข้าวสารเสียหายเพราะความประมาทของผู้ควบคุมเรือของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ขนส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 และ 618
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันข้าวสารราคา ๒,๐๖๘,๐๐๐ บาท จากองค์การคลังสินค้า มีข้อตกลงว่า ระหว่างการขนส่งข้าวสารไปลงเรือที่อ่าวไทย หากมีความเสียหายเกิดขึ้นด้วยเหตุใดก็ตามโจทก์ยอมรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับจ้างขนส่งข้าวสารดังกล่าวจากองค์การคลังสินค้าโดยใช้เรือรัตนสุรีย์ ๔๙ เป็นเรือบรรทุก ปรากฏว่าเรือรัตนสุรีย์ ๔๙ เกิดชนกับเรือขุดสันดอน ๖ ซึ่งมีจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของผู้ครอบครองและใช้โดยมีลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ถือท้ายและต้นหนเรือ เหตุชนกันเกิดขึ้นเพราะความประมาทของเรือสันดอน ๖ ทำให้น้ำเข้าเรือรัตนสุรีย์ ๔๙ และจมลง โจทก์ต้องชดใช้ค่าข้าวสารเสียหายเป็นเงิน ๒,๐๖๘,๐๐๐ บาท ให้แก่องค์การคลังสินค้า จำเลยที่ ๑ เป็นผู้รับขนไม่ส่งมอบข้าวให้แก่ผู้รับตามสัญญา และจำเลยที่ ๒ ในฐานะนายจ้างผู้ควบคุมเรือสันดอน ๖ ต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ซึ่งรับช่วงสิทธิเรียกร้องมา ขอให้จำเลยทั้งสองใช้เงินจำนวน ๒,๐๘๘,๖๐๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันใช้เงินจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า เมือจำเลยที่ ๑ รับจ้างขนส่งข้าวสารก็ได้ว่าจ้างบริษัทสยามบาร์จเซอร์วิส จำกัด ทำการขนส่งช่วง เรือชนกันเพราะความประมาทของเรือสันดอน ๖ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลยที่ ๑ ขอให้ยกฟ้องโจทก์
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า เหตุเรือชนกันเป็นเพราะความประมาทของเรือซีแมนซึ่งลากจูงเรือรัตนสุรีย์ ๔๙ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยที่ ๑ ขอให้ศาลเรียกบริษัทสยามบาร์จเซอร์วิส จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า เหตุเรือชนกันเกิดจากความประมาทของผู้ควบคุมเรือสันดอน ๖ ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๒ ข้าวสารเสียหายไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วม ร่วมกันชำระเงิน ๑,๙๕๙,๘๙๘ บาท พร้อมดอกเบี้ย และให้ยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๑ และจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ว่าจำเลยที่ ๑ จะต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าเกี่ยวกับคดีนี้โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดในความเสียหายอันเนื่องจากการขนส่งสินค้าข้าวขององค์การคลังสินค้าที่ได้เอาประกันภัยไว้กับโจทก์จากโกดังเก็บไปลงเรือเซี่ยงไฮ้ที่อ่าวไทย โดยโจทก์อ้างว่าได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่องค์การคลังสินค้าผู้เอาประกันภัยแล้วจึงได้รับช่วงสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ รับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ให้การต่อสู้เพียงว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ รับจ้างขนส่งข้าวสารจากองค์การคลังสินค้าแล้วก็ได้ว่าจ้างจำเลยร่วมทำการขนส่งช่วง การที่ข้าวสารดังกล่าวสูญหายเกิดเพราะเรือชนกันโดยเป็นความประมาทของเรือสันดอน ๖ ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นเจ้าของแล่นตัดหน้าเรือรัตนสุรีย์ ๔๙ อย่างกระชั้นชิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยที่ ๑ จึงมีประเด็นข้อโต้เถียงตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นประเด็นพิพาทว่า เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อของลูกจ้างจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ กับจำเลยร่วมต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โดยไม่มีประเด็นโต้เถึยงว่า สินค้าข้าวที่จำเลยที่ ๑ รับขนนั้นได้สูญหายไปเนื่องจากเหตุสุดวิสัยอันจำเลยและจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดหรือไม่ ทั้งฎีกาของจำเลยที่ ๑ เองที่ปฏิเสธความรับผิดก็อ้างแต่เพียงว่า เหตุที่เรือชนกันเกิดจากลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ที่ควบคุมเรือสันดอน ๖ ประมาทเลินเล่อขับเรือเลี้ยวกลับแล้วพุ่งเข้าชนกลางลำเรือรัตนสุรีย์ ๔๙ ซึ่งมีเรือซีแมนลากจูงอยู่ถึงกับจมลง มิได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยร่วมหรือลูกจ้างของจำเลยร่วมแต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด โดยมิได้ยกเหตุสุดวิสัยขึ้นปฏิเสธความรับผิดแต่อย่างใด ดังนั้นถึงแม้จะฟังว่าข้าวสารดังกล่าวเสียหายเพราะความประมาทของผู้ควบคุมเรือสันดอน ๖ จำเลยที่ ๑ ก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะผู้ขนส่งอยู่นั่นเอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๑๖ และ ๖๑๘ ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.