คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5898/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้ให้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาคดีล้มละลายน้อยกว่า 7 วัน การนัดสืบพยานโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานโจทก์ไปจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ศาลอุทธรณ์สั่งเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคหนึ่ง โดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความฝ่ายที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้วหรือไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา 27 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ กับบริษัทบ้านและที่ดินไทย (๑๙๗๙) จำกัด และจำเลยตกลงหักกลบลบหนี้ที่ต่างฝ่ายมีอยู่ระหว่างกัน ปรากฏว่าจำเลยจะต้องชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสองรวม ๑๖๑,๖๑๔,๔๓๑.๔๑ บาท แต่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาโจทก์มีหนังสือทางถามแต่ส่งให้ไม่ได้เพราะจำเลยย้ายไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ และปิดสถานที่ประกอบธุรกิจเพื่อประวิงการชำระหนี้ จำเลยเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด และพิพากษาให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่ได้เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โจทก์ทั้งสองไม่ได้เป็นเจ้าหนี้จำเลยตามฟ้อง เพราะภาระผูกพันตามสัญญาแปลงหนี้ใหม่ระงับไปแล้ว จำเลยไม่เคยย้ายไปจากเคหสถานที่เคยอยู่ และไม่เคยปิดสถานที่ประกอบธุรกิจแต่อย่างใด
ระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น ในการสืบพยานโจทก์นัดแรกวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ทนายจำเลยมาศาลขณะศาลสืบพยานโจทก์ปากที่สอง ศาลชั้นต้นเห็นว่าจำเลยจงใจขาดนัดจึงให้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปอย่างจำเลยขาดนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้ ๒ ปาก แล้วจึงเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ต่อ ก่อนถึงวันนัดจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบ คือการนัดพิจารณาในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ นั้น พนักงานเดินหมายนำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลย เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ไม่ครบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับคดีล้มละลายและจำเลยมิได้จงใจขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องว่า หลังจากศาลสั่งผิดระเบียบไปแล้ว ทนายจำเลยทราบข้อความอันเป็นมูลแห่งข้ออ้างนั้น แต่ทางจำเลยได้ยื่นใบแต่งทนายต่อศาลและถามค้านพยานโจทก์ เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว จำเลยจะขอให้ศาลสั่งเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นไม่ได้ ให้ยกคำร้องและได้ดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปจนคดีเสร็จสำนวน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย ส่วนค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด โดยให้เพิกถอนการพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่การสืบพยาน โจทก์จนถึงมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและสั่งหรือพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ได้ความว่าในการนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก คือ วันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ นั้น พนักงานเดินหมายได้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยโดยวิธีปิดหมาย เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๗๙ การส่งหมายด้วยวิธีดังกล่าวจะมีผลใช้ได้ต่อเมื่อกำหนดเวลา ๑๕ วัน ได้ล่วงพ้นไปแล้วและตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.๒๔๘๓ มาตรา ๑๓ บัญญัติว่า ให้ออกหมายเรียกและส่งสำเนาคำฟ้องไปยังลูกหนี้ให้ทราบก่อนวันนัดพิจารณาไม่น้อยกว่า ๗ วัน ในกรณีเช่นนี้คดีมีผลถือว่าจำเลยรับหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องเมื่อวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ ดังนั้น วันนัดพิจารณาจะต้องมีระยะเวลาไม่น้อยกว่า ๗ วัน นับแต่วันรับหมายคืออย่างน้อยต้องเป็นวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ การนัดพิจารณาสืบพยานโจทก์ในวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๒๘ จึงมิได้เป็นไปตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ที่ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานโจทก์ไป และสั่งว่าจำเลยขาดนัดพิจารณาจึงเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาผิดระเบียบ ชอบที่จะสั่งเพิกถอนเสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๗ วรรคหนึ่งโดยมิต้องคำนึงว่าคู่ความที่เสียหายได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากที่ได้ทราบเรื่องผิดระเบียบหรือไม่ เพราะมิใช่เป็นกรณีที่คู่ความยกขึ้นคัดค้านตามมาตรา ๒๗ วรรคสอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้ศาลชั้นต้นรวมสั่ง เมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่

Share