คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1167/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าเช่าซื้อคืนจากจำเลย 12,000 บาท จำเลยให้การว่าจำเลยมิได้ตกลงกับโจทก์ว่าจะเป็นผู้นำรถไปขายให้บุคคลภายนอก และจะชำระเงินที่โจทก์ส่งชำระแก่จำเลยแล้วให้โจทก์ การที่จำเลยฎีกาว่าข้อที่โจทก์อ้างมีข้อตกลงกันว่าจำเลยต้องคืนเงิน 12,000 บาทแก่โจทก์นั้นโจทก์นำสืบไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ข้อตกลงนี้ต้องทำเป็นหนังสือ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ เป็นข้อที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากจำเลย 1 คันชำระเงินค่าเช่าซื้อไปแล้ว 6 งวด ๆ ละ 200 บาทเป็นเงิน 12,000 บาทต่อมาจำเลยขอนำรถคันนี้ไปขายให้บุคคลภายนอกเพื่อเอาเงินสดมาใช้เมื่อโอนทะเบียนขายได้แล้วจะนำเงิน 12,000 บาท ค่าเช่าซื้อมาคืนให้โจทก์แล้วไม่คืน ขอให้ศาลบังคับ

จำเลยให้การว่าโจทก์ชำระเงินค่าเช่าซื้อเพียง 5 เดือน ส่วนค่าเช่าซื้อเดือนที่ 6 ไม่ชำระ โจทก์เป็นผู้ขอร้องจำเลยว่าจะหาคนมาซื้อรถ ขอลดเงินที่เหลือลงบ้างโดยหักเงินค่าเช่าซื้อที่ชำระไปแล้วออกเสีย จำเลยมิได้ตกลงจะเป็นผู้นำรถไปขายแก่บุคคลภายนอก และจะชำระเงินที่โจทก์ส่งชำระแก่จำเลยแล้วให้โจทก์

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 12,000 บาท และใช้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาข้อหนึ่งว่า ข้อที่โจทก์อ้างว่ามีข้อตกลงกันว่าจำเลยต้องคืนเงิน 12,000 บาทแก่โจทก์นั้น โจทก์นำสืบไม่ได้เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ข้อตกลงนี้ต้องทำเป็นหนังสือมิฉะนั้นเป็นโมฆะ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย

พิพากษายืน

Share